Wednesday, May 6, 2009

มติปชป.เบี้ยวไม่แก้รธน.'พผ.'ลั่นเห็นด้วย

'เทพเทือก'มั่นใจกล่อมบรรหารได้

“บัญญัติ” ดับฝันแก้รธน. มติปชป.เบี้ยวแก้รัฐธรรมนูญ ชี้ยังไม่เห็นผลกระทบชัดเจน แต่ยอมรับ ม.190 ทำรัฐบาลสะดุดงานเจรจาต่างประเทศอืด หากแก้จริงอาจต้องถามประชามติประชาชน “เทพเทือก” มั่นใจพรรคร่วมไม่แข็งข้อ เชื่อโปรยยาหอมกล่อม “บรรหาร” ได้ ฝ่าย “เพื่อแผ่นดิน” เออออแก้รธน.ตอนนี้ยังไม่เหมาะ ควัก 2 พันล้านบาทถามประชาชนถือว่าคุ้ม วิปรัฐบาลเสนอกรรมการสมานฉันท์เปิดใจกว้างรับฟังเสียงทุกฝ่าย แก้รธน.อาจตั้งส.ส.ร 40 ส.ว.จี้จับตากรรมการสมานฉันท์ฯบางคน หวังใช้เวทีทำร้ายประเทศไทย จี้จับตาพฤติกรรม เรียกร้องอัดวีซีดีการประชุมทุกครั้ง “เพื่อไทย” ร้องกกต.ยุบปชป.เหตุตั้งรัฐบาลไม่ชอบ “มาร์ค” จับมือนักการเมืองถูกตัดสิทธิตั้งรัฐบาล “เทพไท” เย้ยคลิปยุบปชป.หน่อมแน้ม แค่เรื่องมอบกระเช้าดอกไม้ พท.ขอศาลรธน.พิจารณาลดโทษบ้านเลขที่ 111-109 แทนออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม

ปชป.เบี้ยวเมินธงแก้รธน.

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรม การพิจารณาศึกษาผลกระทบการใช้รัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียก 8 ส.ส.ตัวแทนของพรรคที่เป็นคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อปฏิรูปการเมือง และศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของรัฐสภา เพื่อประชุมหารือถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้ระยะเวลาการหารือประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

จากนั้น นายบัญญัติ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้หยิบผลการศึกษาที่คณะกรรมการฯชุดที่ตนเป็นประธาน เคยทำการศึกษามาก่อน และยังได้พิจารณาถึงรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบเพื่อ การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ที่ตั้งขึ้นสมัยที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล โดยเห็นว่าผลกระทบจากการใช้รัฐธรรมนูญปี 50 มีน้อยมาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเมือง และเมื่อดูผลการศึกษาของคณะกรรมาธิ การ ของรัฐสภา พบว่ายังไม่มีผลกระทบเลย ดังนั้น ที่ประชุมจึงเห็นว่า ในส่วนของพรรคคงยังไม่เสนอประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะขอฟังข้อเสนอของพรรคอื่นก่อน

“บัญญัติ”ชี้อาจใช้ประชามติ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายอาจตั้งข้อสังเกตว่าในฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคแกนนำ แต่ทำไมไม่มีข้อเสนออะไรที่ชัดเจน นายบัญญัติ กล่าวว่า เพราะจุดยืนของพรรคที่ผ่านมายังเห็นว่าเร็วเกินไปที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่า ที่ระบุว่าผลกระทบที่เกิดจากรัฐธรรมนูญปี 50 มีไม่มาก มีอะไรบ้าง นายบัญญัติกล่าวว่า มีเฉพาะในมาตรา 190 ที่จำกัดเกินไป จนทำให้รัฐบาลที่จะไปเจรจากับใครต้องนำเรื่องเข้ารัฐสภาก่อนทุกครั้ง อาจทำให้กระบวนการล่าช้า ไม่ทันการ นอกจากนั้น ยังมีการพูดถึงมาตรา 266 และ 265 ที่ส.ส.โอดครวญว่าเขียนจำกัดจนกระทั่งเกรงว่าจะเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ แทรกแซงการปฏิบัติงานของหน่วยราชการหรือไม่

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่จะมีการทำประชามติก่อนการแก้ไข นายบัญญัติกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ แต่ถ้าคณะกรรมการฯตระหนักถึงภารกิจว่ามีอะไรและหากมีประเด็นที่เกี่ยวกับการ สร้างความสมานฉันท์ ตนคิดว่าทางคณะกรรมการฯ อาจตัดสินใจเลือกการทำประชามติ เพื่อดูว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ ที่สำคัญรัฐธรรม นูญปี 50 ก็ผ่านการทำประชามติมาแล้ว ดังนั้น อยู่ ๆ จะมาแก้ไขโดยลำพังคงไม่เหมาะ

“มาร์ค”ระบุแก้แล้วต้องดีขึ้น

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ถึงข่าวที่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลกดดันพรรคประชาธิปัตย์ให้แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 237 ในประเด็นการยุบพรรคและให้มีการนิรโทษกรรมว่า ไม่มีกระแสกดดัน ทุกพรรคมีจุดยืนหรือมีความคิดของตัวเองอยู่แล้ว

ส่วนที่มีการอ้างถึงพรรคชาติไทยพัฒนา นาย ชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนานั้น นายชุมพลได้พูดกับตนแล้วว่าพรรคชาติไทยพัฒนามีจุดยืนในเรื่องรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 ชัดเจนอยู่แล้ว แต่จะไม่นำเรื่องนี้มาเกี่ยวข้องกับรัฐบาล เพราะถือว่าเป็นการทำงานในฐานะพรรคการเมืองไป

เมื่อถามถึงการเสนอให้มีการทำประชาพิจารณ์หรือประชามติก่อน นายกฯ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเสนอไปยังคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาว่าควรเปิดกระบวนการใน การทำงานให้กว้างและให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งเราไม่ได้ ตัดความเป็นไปได้ในการทำประชาพิจารณ์หรือประชามติ แต่ทั้งหมดขึ้นกับคณะกรรมการที่เป็นผู้ดำเนินเรื่องทั้งหมดในขณะนี้ โดยจะประชุมนัดแรกในวันที่ 7 พ.ค.นี้ ถ้าจะทำประชาพิจารณ์หรือประชามติถามประชาชนว่าควรแก้รัฐธรรม นูญหรือไม่ ก็ทำได้ แต่เท่าที่ตนคิดว่าคนไม่ได้ขัดข้องว่าจะแก้หรือไม่แก้ แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าจะแก้เรื่องใด เพราะตอนประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ คนจำนวนมากบอกให้รับแต่ต้องแก้ไขได้ เพียงแต่มีบางประเด็นมีความละเอียดอ่อน จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าแก้ไขเพื่อประโยชน์อะไรหรือไม่

ย้ำใช้งบถามประชาชนต้องชัด

“การทำประชามติหรือประชาพิจารณ์นั้นผมคิดว่าถ้าถามว่าควรแก้หรือไม่แก้ มันไม่ชัด ถ้าจะถามก็ควรถามหนเดียวไปเลยว่าจะแก้อะไรบ้าง เพราะงบ 2,000 ล้านบาทควรถูกใช้หนเดียว ถ้าไปทำ 2 ครั้งก็ 4,000 ล้านบาท อย่าไปทำ 2 หนเลย” นายอภิสิทธิ์ กล่าวและว่า ตอนนี้ต้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติทำงานไปก่อน ถ้าทำงาน แล้วไม่มีปัญหา ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีปัญหา ก็มาคุยกัน ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการมองว่าพรรคประชาธิปัตย์ส่งนายบัญญัติ ออกหน้ามาตีกันพรรค ร่วมรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายอภิสิทธิ์ หัวเราะก่อนกล่าวว่า “เราจะไปเก่งอะไรขนาดนั้น” เมื่อถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในตอน นี้ถือว่าเร็วเกินไปหรือไม่ เพราะนายกฯเคยบอก ว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกฯ กล่าวว่า เวลานี้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจมีความคืบหน้าไปมาก เพราะฉะนั้น กลไกต่าง ๆ ก็เดินหน้าไป อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าความขัดแย้งทางการเมืองได้กลับมาเป็นเงื่อนไข สำคัญในการที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาของประชาชนรวมถึงเรื่องเศรษฐกิจและปากท้อง ซึ่งถ้าการเมืองวุ่นวายรุนแรง จะเห็นชัดว่าแก้ไม่ได้ ปัญหาอะไร ดังนั้น ตรงนี้จะเป็นกระบวนการนำไปสู่การคลายเงื่อนไขที่เป็นคำตอบในตัว ถ้าคิดจะแก้แล้วบ้านเมืองวุ่นวายมากขึ้นมันไม่ใช่คำตอบ แต่ต้องแก้เพื่อให้บ้านเมืองสงบยั่งยืน

ยาหอมกล่อมพรรคร่วมได้

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจจะกลายเป็นความขัดแย้ง ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคชาติไทยพัฒนา ว่า การออกมาพูดของแต่ละคนก็ว่ากันไป ไม่เป็นไร แต่ในที่ประชุมของแต่ละพรรคก็ต้องประชุมกัน และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วก็นำเสนอคณะกรรมการฯ และแสดงเหตุผลกัน เพราะต้องให้ได้ข้อสรุปในระดับคณะกรรมการฯ จากนั้นก็เสนอสภา และรัฐบาลไปดำเนินการตามขอบเขตหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ซึ่งไม่เป็นปัญหา เราอย่าไปกระพือให้ตื่นเต้นไปกว่าความจริง ยืนยันว่าพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้ยัง สมานฉันท์กันดีอยู่

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มของนายสุเทพไม่พอใจท่าทีของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ออกมากดดันให้แก้รัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมว่า ตนได้สอบถามเรื่องดังกล่าวจากนายสุเทพ แล้ว ซึ่งนายสุเทพก็ยืนยันว่าไม่มีอะไร และในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา ตนก็ชี้แจงว่าในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ไม่ได้ไปกดดันอะไร เราต้องรอฟังก่อน

พผ.ลู่ตามลมไม่อยากแก้

นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาห กรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าพรรคร่วมรัฐบาลกดดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และการนิรโทษกรรมว่า พรรคเพื่อแผ่นดินจะไม่กดดันพรรคร่วมรัฐบาล ถือว่าเป็นความคิดเห็นของแต่ละคนแต่ละพรรค สำหรับพรรคเพื่อแผ่นดินนั้นเรื่องแรกคือจะต้องแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาความเดือดร้อน และวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องรองลงมา โดยจะต้องเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนมีประชาธิปไตยและมีส่วนร่วม มากที่สุด จึงต้องไปลงตัวที่การถามประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม หากประชาชนไม่เห็นด้วย เราก็จะไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน

ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าจะทำให้เกิดความยุ่งยากและสิ้นเปลืองงบประมาณหรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า สำหรับเรื่องรัฐธรรมนูญของประเทศชาติ ถือว่าคุ้มค่า การลงทุนเพื่อประเทศชาติในเรื่องการให้สิทธิ เสรีภาพ และให้รัฐธรรมนูญเป็นของปวงชนชาวไทยถือว่าคุ้มค่าสำหรับเงิน 2 พันกว่าล้านบาท ตนดูช่วงเวลาแล้วคิดว่ายังไม่เหมาะ เพราะมีคนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยหลักการแล้วจะต้องถามประชาชนและไม่ได้กลัวการยุบสภาก่อนที่จะมีการแก้ไข รัฐธรรมนูญ เรื่องยุบสภาไม่มีใครกลัว แต่ไม่อยากให้ยุบเพราะถ้ายุบสภาแล้วเลือกตั้ง ใหม่ ก็ต้องใช้เงินงบประมาณอีก และยังไม่ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอย่างไร

วิปรัฐบาลเสนอใจกว้างรับฟัง

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิป) สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า วิปรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการทำงานของ คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะอยากเห็นคณะกรรมการชุดนี้ทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและรับฟังความ คิดเห็นของทุกส่วนอย่าง กว้างขวาง เนื่องจากจะเป็นทางออกให้ประเทศได้ โดยวิปรัฐบาลทุกพรรคเห็นตรงกันว่าต้องเปิดโอกาสให้คณะกรรมการทำงานอย่าง อิสระ ไม่ถูกกดดันจากพรรคการเมือง และเมื่อคณะกรรมการมีมติออกมาเป็นไปในแนวทางใด พรรคร่วมรัฐบาลก็ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

นายชินวรณ์ กล่าวว่า สำหรับการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนนั้น ทางวิปรัฐบาลจะปล่อยให้เป็นหน้าที่คณะกรรมการหาข้อสรุปว่าจะ ดำเนินการอย่างไร แต่วิปรัฐบาลมีข้อเสนอ 2 แนวทาง คือ การเปิดกว้างให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น โดยอาจผ่านการตั้งอนุกรรมการ ก่อนที่จะนำเสนอสู่คณะกรรมการและเข้าสู่สภาต่อไป หรือให้คณะกรรมการได้รวบรวมประเด็นแล้วไปถามประชามติจากประชาชน ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นหากมีการแก้ไขคงต้องทำตามกระบวนการ คือให้คณะรัฐมนตรี ส.ส. 1 ใน 5 หรือประชาชนเข้าชื่อ 50,000 รายชื่อเสนอ โดยอาจทำในรูปแบบ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หรือนำผลมายกร่างแล้วทำประชามติเหมือนกับรัฐธรรมนูญ 2550

ส.ว.จี้สกัดกรรมการสวมรอย

ที่รัฐสภา กลุ่ม 40 ส.ว. นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน นายอนุศักดิ์ คงมาลัย ส.ว. สรรหา และนายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง ร่วมแถลงหนุนการรณรงค์หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง และเรียกร้องให้คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไข รัฐธรรมนูญทั้ง 40 คนร่วมเป็นเครือข่ายในการหยุดทำร้ายประเทศไทยด้วย โดยนายไพบูลย์ กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยังคณะกรรมการสมาน ฉันท์ฯ ขอให้มีมาตรการป้องกันกรรมการบางคน ที่จะใช้ที่ประชุมกรรมการเป็นเวทีทำร้ายประเทศไทยด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีเหตุผลชัดเจนว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างไร

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ขอให้ทุกครั้งที่มีการประชุมคณะกรรมการฯขอให้กระทำอย่างเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้สื่อมวลชน ประชาชนรับรู้ ทุกความเห็นในที่ประชุม โดยขอให้จัดถ่ายภาพบันทึกวิดีโอ และบันทึกเสียงตลอดการประชุม เพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจได้รับชม และฟังอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ให้เผยแพร่แผ่นซีดีการประชุมอย่างไม่จำกัด รวมทั้งขอให้บันทึกการประชุมเป็นการจดชวเลข และเผยแพร่ในเว็บไซต์ของรัฐสภา เพื่อให้ทราบว่า ผู้ใดเสนออะไร เพื่อให้กรรมการฯมีส่วนร่วมในการป้องกันการทำร้ายประเทศไทยด้วยการไม่เสนอ สิ่งที่จะสร้างความขัดแย้งในสังคมให้มีความรุนแรงมากขึ้น

ยุบรรเทาโทษคุกการเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ช่วงเปิดให้สมาชิกหารือในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม นายบรรพต ตันธีระวงศ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขอ หารือไปยังศาลรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายมหาชน โดยขณะนี้มีความเห็นแตกต่างระหว่างการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีการเมือง อยากเปรียบเทียบกับคดีทางกระบวนการยุติธรรม ที่ให้ลดโทษได้เมื่อมาถึงระยะเวลาหนึ่ง

นายบรรพต กล่าวต่อว่า กรณีนี้หากศาลรัฐธรรมนูญจะใช้วิธีการตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเลขที่ 111 หรือ 109 ที่รับโทษมาแล้วระยะหนึ่ง และได้ทำความดีให้สังคม ก็น่าเป็นเหตุให้บรรเทาโทษได้ อาจให้ลดโทษ 5 ปี เหลือ 2 ปีครึ่ง โดยไม่ต้องออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะไม่มีใครได้ทุกสิ่งทุกอย่างเบ็ดเสร็จโดยนายชัย กล่าวว่า ตนจะนำเรื่องนี้ไปเสนอต่อคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ต่อไป

พท.เสียงแตกดัน2แนวทาง

นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการสมานฉันท์ปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยเพื่อหารือในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเสนอต่อที่ ประชุมคณะกรรมการฯนัดแรก วันที่ 7 พ.ค.นี้ว่า ในที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้ถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยมีความเห็นแยกเป็น 2 ฝ่าย ส่วนหนึ่งเห็นว่าอยากให้มีการผลักดัน พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.

นายพีรพันธุ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าควรให้แก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนให้เป็นประชาธิปไตยความเป็น ธรรมก็จะกลับคืนมา กรรมการของพรรคเพื่อไทยจะนำเสนอแนวทางนี้ต่อที่ประชุมเพื่อดูว่าสุดท้ายที่ ประชุมจะยอมรับข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่าควรที่จะเริ่มจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าแก้เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว ยอมรับว่าการผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง พรรคเพื่อไทยจะตกเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าทำเพื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทั้งนี้ในส่วนของพรรคอื่น ๆ เท่าที่ฟังเสียงส่วนใหญ่เขาก็เห็นว่ายังไม่น่าที่จะพูดเรื่องการนิรโทษกรรม ในขณะนี้ แต่น่าจะพูดในเรื่องคืนความเป็นธรรม

“เหนาะ”แนะทำแกงโฮะรธน.

นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า รัฐธรรมนูญไม่มีอะไรจะเขียนอีกแล้ว เขียนกันมาหมดแล้ว ดังนั้นเมื่อบอกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ดีแล้วแต่มีปัญหาบางส่วน ดังนั้นประเด็นใดที่ไม่ดีก็เอาออกไป แต่เพื่อไม่ให้เสียหน้าก็เอาสองฉบับ (รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และรัฐธรรมนญ พ.ศ. 2550) มารวมกัน ส่วนข้อเสนอในการทำประชามตินั้น ส่วนตัวเห็นว่า ถ้าทำประชามติก็ดี แต่การจะไปถามประชาชนจะต้องมีคำถามคือมีประเด็นที่จะเป็นคำถามไปให้ประชาชน ตอบก่อน

ร้องยุบปชป.ตั้งรัฐบาลไม่ชอบ

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เวลา 10.30 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทย เข้ายื่นพยานหลักฐานต่อ กกต. กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยไปชักนำอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เช่น นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย นายสุวัจน์ ลิปต พัลลภ แกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล

นายพร้อมพงศ์ ระบุว่า การกระทำดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 65 วรรค 2 ประกอบมาตรา 2 และ 3 วรรคแรก มาตรา 122 และมาตรา 126 ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรม นูญ และยังขัดต่อพ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 94(1) (3) และ (4) ทั้งนี้ ตนมั่นใจในพยานหลักฐานอันประกอบด้วยภาพถ่ายและวีซีดีที่นายอภิสิทธิ์ พบปะกับอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เชื่อว่าหลักฐานทั้งหมดจะสามารถยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้

“เทพไท”เย้ยคลิปหน่อมแน้ม

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่โฆษกพรรคเพื่อไทยระบุมีคลิปนายกฯคุยจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ สมาชิกบางคนของบ้านเลขที่ 111 ว่า ถ้ามีจริงก็ขอให้เปิดเผย แต่ตนกลัวว่าจะเป็นแค่คลิป นายกฯไปมอบช่อดอกไม้ผู้นำพรรคต่าง ๆ เช่น นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน หรือแกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งถือเป็นเพียงราคาคุย เพราะโฆษกพรรคเพื่อไทยพูดแบบนี้มาหลายครั้งแล้วก็ไม่เป็นจริง ขอเรียกร้องให้เลิกกุข่าว ถ้ามีก็เปิดเผยมาเราพร้อมเผชิญ และขอเสนอให้พรรคเพื่อไทยควรเปลี่ยนโฆษกเป็น ส.ส.ของพรรคที่มีความรับผิดชอบมากกว่านี้ด้วย

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชา ธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ มีเงื่อนไขแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 237 แลกกับการตั้งรัฐบาลว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยการตั้งรัฐบาลพรรคมีเงื่อนไขเดียวคือ เอาบ้านเมืองออกจากวิกฤติ ไม่ดึงสถาบันลงมาสู่ความขัดแย้ง การแก้วิกฤติเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาโดยประชาชนมีส่วนร่วม

นายกฯงดแถลงประชุม ครม.

เมื่อเวลา 13.35 น. ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้น นายอภิสิทธิ์ ได้เดินทางออกจากอาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อมาร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรและประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่รัฐสภาทันที โดยนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ แจ้งต่อสื่อมวลชนว่า นายกฯ ของดแถลงผลการประชุม ครม. แต่นายกอร์ป ศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ และคณะของรมว. คลังจะเป็นผู้แถลงข่าว

ทั้งนี้ ขบวนรถของนายกฯได้เปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุม ที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐและถนนพิษณุโลก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปิดสถานีดีสเตชั่น มาใช้ช่องทางประตู 7 ของทำเนียบรัฐบาลที่อยู่ข้างอาคาร สลค. แล้วข้ามสะพานอรทัยเข้าสู่ถนนนครสวรรค์แล้วเลี้ยวซ้ายที่แยกเทวกรรม จากนั้นข้ามสะพานขาวมุ่งสู่ถนนหลานหลวงจนมาถึงแยกยมราชแล้วเลี้ยวซ้ายเข้า สู่ถนนสวรรค โลก และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชวิถีมุ่งตรงมาถึงรัฐสภาที่ถนนอู่ทองในอย่างปลอดภัย.

No comments:

Post a Comment