Tuesday, June 23, 2009

“ประสพสุข” ยอมรับรัฐบาลล็อบบี้ ส.ว.ผ่าน กม.กู้เงินเป็นเรื่องปกติ

ปธ.วุฒิสภาแจงสั่งเร่งปิดประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงินเหตุเวลาไม่พอ ยอมรับฝ่ายบริหารล็อบบี้ ส.ว.ผ่าน พ.ร.ก.เป็นเรื่องปกติ ไม่วิตกเสียงรับร่าง พ.ร.ก.เฉียดฉิว ไม่ส่งผลพิจารณาคว่ำร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน

วันนี้ (23 มิ.ย.) ที่รัฐสภา นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงการสั่งปิดการประชุมวุฒิสภาเมื่อคืนวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจว่า การสั่งปิดการประชุมไปก่อนเพราะหมดเวลา และตามที่มีพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมสภาวิสามัญให้การประชุมต้องปิดก่อนเวลา 24.00 น. จะเกินเวลาไปแม้แต่หนึ่งนาทีคงไม่ได้ ดังนั้น เมื่อลงมติ พ.ร.ก.กู้เงิน เป็นเวลา 23.00 น.เศษไปแล้ว การจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงินต่อคงเป็นไปไม่ได้

“เมื่อวานที่ปิดทุกคนตกใจ ท่านนายกฯ ก็ตกใจหมด คือต้องคำนวณดูเวลาทำไม่ทันแล้วมันต้องปิด” นายประสพสุข กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสข่าวรัฐมนตรีโทรศัพท์มาล็อบบี้ ส.ว.ให้ลงมติสนับสนุนร่าง พ.ร.ก. นายประสพสุขกล่าวว่า อย่าเรียกว่าล็อบบี้เลย เรียกว่าเป็นการขอความร่วมมือโดยคนรู้จักมักคุ้นที่อาจจะมีการทำอย่างนั้นบ้าง โดยคงเป็นการชี้แจงทำความเข้าใจว่าจำเป็นอย่างไรจึงต้องผ่าน อย่าบอกว่าเป็นการล็อบบี้เลย

เมื่อถามต่อว่ามีกระแสข่าว ส.ว.บางส่วนไม่ค่อยพอใจการทำงานของรัฐบาล นายประสพสุขกล่าวว่า ที่ผ่านมาเป็นการพูดกันด้วยเหตุด้วยผล อย่าบอกว่าเป็นความไม่พอใจอะไรเลยคงไม่มี เมื่อถามต่อว่าก่อนหน้าที่ นายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาดูเหมือนการอภิปรายของ ส.ว.จะรุนแรงแต่พอนายกรัฐมนตรีมาแล้วผลกลับเปลี่ยนไป ประธานวุฒิสภากล่าวว่า นายกรัฐมนตรีชี้แจงดีเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นขั้นเป็นตอน ที่สำคัญคือการสัญญาว่าจะตรวจสอบการใช้เงิน ซึ่ง ส.ว.ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องอะไร นอกจากกลัวว่าจะมีการทุจริต หากมีคำรับรองว่าจะตรวจสอบไม่ยอมให้มีการทุจริต อาจเป็นน้ำหนักทำให้คนที่ลังเลตัดสินใจให้การสนับสนุน

เมื่อถามต่อว่าผลการลงมติ พ.ร.ก.มีคะแนนเสียงเห็นด้วยมากกว่าเล็กน้อยจะมีผลต่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กู้เงินฯ หรือไม่ นายประสพสุขกล่าวว่า คงไม่เกี่ยว เรื่อง พ.ร.บ.ก็ต้องพูดกันด้วยเหตุและผล อีกทั้ง พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.ต่างกันการพิจารณา พ.ร.ก.มีสองอย่าง คือ รับ และไม่รับ แต่ร่าง พ.ร.บ.เมื่อรับหลักการแล้วสามารถตั้งกรรมาธิการตรวจสอบแปรญัตติได้อีก

"ชวรัตน์ "เปิดช่องรสก.ขอเงินค่าเบี้ยยังชีพแต่ต้องไม่ใช้งบรัฐ

คมชัดลึก : “ครม.” โยน “มท.” เคลียร์ พร้อมจ่าย 2 พัน ให้พนักงานเงินเดือนไม่ถึง 1.5 หมื่นเท่านั้น "ชวรัตน์"เปิดช่องรสก. ขอเงินค่าเบี้ยยังชีพ แต่ต้องไม่ใช้งบรัฐ ปัดถูกปชป.สกัดขา อ้างเป็นเรื่องความความเหมาะสม

นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมถึงข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยที่ให้ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้แก่พนักงานรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งคือการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) และการประปกนครหลวง(กปน.) ทุกคนในอัตรา 2 พันบาทต่อเดือน โดยนายกรัฐมนตรีได้ให้นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลทั้ง 2 หน่วยงานกลับไปศึกษากับรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่ง โดยมีแนวทางว่าพนักงานที่รายได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท จะมีการจ่ายเงินให้เดือนละ 2 พันบาทเป็นเวลา 6 เดือน

ทั้งนี้ในที่ประชุมมีการแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยเห็นว่าในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่เห็นด้วยที่จะให้พนักงานทุกคนได้รับตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอมา และการที่หน่วยงานมีกำไรพนักงานก็จะได้รับโบนัสอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับอนุมัติมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน

ครม.เครียดผวา"รสก.-ขรก."แห่ขอเงินเพิ่มถ้าจ่าย.กปน.-กฟน."

แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เปิดเผยว่า สำหรับวาระพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยที่ให้ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ให้แก่พนักงานรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งคือการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) และการประปกนครหลวง(กปน.) ทุกคน ในอัตรา 2 พันบาทต่อเดือนนั้น รัฐมนตรีได้อภิปรายกันอย่างเคร่งเครียด โดยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากจะหากอนุมัติให้ 2 หน่วยงานนี้ จะเป็นการกวักมือเรียกรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ รวมทั้งข้าราชการ ที่จะแห่มาขอเงินเพิ่มอย่างแน่นอน และจะทำให้เกิดปัญหากับครม.ในอนาคต

รายงานแจ้งว่า แม้แต่นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงานฯ ซึ่งปกติไม่ค่อยแสดงความเห็นในที่ประชุม แต่คราวนี้ได้บอกว่า การจะอนุมัติเงินให้นั้น ต้องให้สมเหตุสมผล ทำให้นายกรัฐมนตรี ให้นายบุญจง วงไตรรัตน์ และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ไปหารือกับ 2 หน่วยงานว่า จะจ่ายเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทต่อเดือนเท่านั้น

"ชวรัตน์ "เปิดช่องรสก.ขอเงินค่าเบี้ยยังชีพแต่ต้องไม่ใช้งบรัฐ

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มติครม.ตีกลับเรื่องเบี้ยยังชีพของพนักงงานการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) และการประปานครหลวง (กปน.) ว่า การจ่ายเบี้ยยังชีพครั้งนี้ เพราะองค์สามารถสร้างรายได้มากพอที่จะจ่ายให้พนักงาน ส่วนรัฐวิสาหกิจอื่นในสังกัดกระทรวงมหาดไทยยังไม่มีหน่วยงานใดดำเนินการขอมา ซึ่งปัจจัยที่สำคัญในการให้เบี้ยยังชีพ ขึ้นอยู่กับรัฐววิสาหกิจนั้น มีความสามารถในการหารายได้โดยไม่กระทบงบประมาณของรัฐบาล และถ้าหน่วยนั้นจะขอค่าตอบแทนกระทรวงมหาดไทยไม่ขัดขวาง แต่ให้เป็นความรับผิชอบของแต่ละหน่วยเป็นผู้พิจาณาเอง

เมื่อถามว่า การที่กระทรวงการคลังคัดค้านจะเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทย(ภท.) และพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า อย่าไปมองอย่างนั้น เพราะเป็นเรื่องของความเหมาะสม ไม่ใช่ว่าทุกหน่วยงานจะได้ค่าตอบแทน ซึ่งหลังจากนี้ตนไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร เพราะตนได้ออกมาจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ก่อน แต่เชื่อว่าทางสหภาพแรงงานจะหยุดการชุมนุม

กกต.เลื่อนเชือด44ส.ส.ถือหุ้นสัมปทานรัฐ

คมชัดลึก :“เพื่อไทย”โวยกกต.ไม่ให้ชี้แจงกรณีส.ส.ถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจเป็นคู่สัญญากับรัฐ ให้ฝ่ายกม.ทำหนังสือถึงกกต.เลื่อนชี้แจงอีก 15 วัน เหน็บ สงสัยลูก-เมียส.ส.ทำงานรัฐวิสาหกิจไม่ได้ 8 ส.ส.พท.ได้รับหนังสือแต่อดชี้แจง ล่าสุดกกต.สั่งเลื่อนตามที่เสนอแล้ว



เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 23 มิ.ย. นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ส.ส.พรรคเพื่อไทยถือหุ้นในบริษัทรัฐวิสาหกิจที่เป็นคู่สัญญากับรัฐว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยมีการประชุมฝ่ายกฎหมายของพรรค โดยมีส.ส.ของพรรคประมาณ 5 - 6 คนที่ได้รับหนังสือจากกกต.ให้ไปชี้แจงมาร่วมประชุมด้วย โดยที่ประชุมได้พูดถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ และได้ทราบจากนายไพโรจน์ ตันบรรจง ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทยด้วยว่า ในวันนี้( 23 มิ.ย.)ได้ไปชี้แจงต่อกกต.แล้ว แต่ได้รับแจ้งจากกกต.ว่า จะมีการสรุปเรื่องภายในวันนี้แล้วจึงไม่อนุญาตให้มีการชี้แจงอีก ดังนั้นพรรคจึงมีมติว่า ให้พรรคตั้งตัวแทนของพรรคส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรมและชี้แจงถึงความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้น

นายสุนัย กล่าวอีกว่า หนังสือของกกต.ลงวันที่ 15 มิ.ย.ซึ่งส่งมาถึงพรรคเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าให้ไปชี้แจงภายใน 7 วัน ซึ่งวันนี้( 23 มิ.ย.)ถือว่ายังไม่ครบกำหนด 7 วันแต่กลับไม่สามารถที่จะชี้แจงได้ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นจึงให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคทำหนังสือถึงกตต.เพื่อขอเลื่อนเวลาในการชี้แจงออกไปอีก 15 วัน เพราะข้อเท็จจริงในบางรายการนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการค้นหาข้อมูล เนื่องจากในบางท่านเป็นข้อมูลเมื่อ 10 ปีก่อน

“รัฐธรรมนูญ 2550 มีหลายข้อที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยเฉพาะมาตรา 43 กับมาตรา 265 ที่มีความขัดแย้งกัน กรณีของการถือหุ้นในบริษัทรัฐวิสาหกิจที่เป็นคู่สัญญากับรัฐนั้น ผมเป็นคนที่ไม่เคยซื้อหุ้น ไม่เคยเล่นหุ้น แต่ภรรยาผมทำงานในบริษัทของรัฐวิสาหกิจที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ และบริษัทนั้นต้องการให้พนักงานถือหุ้นของบริษัทเพื่อที่จะได้เกิดความรักในบริษัท ซึ่งเป็นไปตามสิทธิของรัฐธรรมนูญมาตรา 43 ที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ หรือว่าลูกเมียของส.ส.ทำงานในรัฐวิสาหกิจไม่ได้ เราไม่ติดใจ ถ้าจะผิดก็ผิด เพียงแต่เราต้องออกมาพูในข้อเท็จจริงต่อสังคมให้ชัดเจนก่อนที่จะมีการส่งให้ศาล ” นายสุนัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ได้รับหนังสือจากกกต.แล้ว เพื่อให้ไปชี้แจงกรณีการถือหุ้นในบริษัทรัฐวิสาหกิจที่เป็นคู่สัญญากับรัฐนั้นประกอบด้วย 1. นายสุนัย 2. นายไพโรจน์ 3.พล.ต.อ. วิรุฬ ฟื้นแสน ส.ส.สัดส่วน 4. นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. 5. นายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เชียงราย 6. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ 7. นายสมพล เกยุราพันธ์ ส.ส.สัดส่วน และ 8. ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น ส่วนรายชื่อส.ส.พรรคเพื่อไทยอีกส่วนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าถือหุ้นในบริษัทรัฐวิสาหกิจที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ แต่ไม่ได้รับหนังสือเรียกให้ไปชี้แจงกับกกต.นั้น เนื่องจากส.ส.ดังกล่าวได้ไปชี้แจงกับกกต.มาก่อนหน้านี้แล้ว

กกต.เลื่อนเชือด44ส.ส.ถือหุ้นสัมปทานรัฐ

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง แถลงว่า ที่ประชุม กกต.วันนี้(23มิ.ย.) ได้พิจารณารายงานการสอบสวนของคณะอนุกรรมการกรณีนาย เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และนายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระ ขอให้ กกต.ตรวจสอบการสิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของ ส.ส.จำนวน 61 คน เนื่องจากถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 และถือครองหุ้นในบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ หรือมีลักษณะผูกขาดตัดตอนขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 265 โดยมีมติตามที่อนุกรรมการเสนอยุติการสอบสวนในส่วนอดีต ส.ส.ที่ถูกร้อง 17 คน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งจากเหตุยุบพรรคและมีการขอลาออกจากตำแหน่ง

นายสุทธิพล กล่าวว่า ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปแล้วประกอบด้วย 1 นาย บรรหาร ศิลปอาชา 2 น.ส. กัญจนา ศิลปอาชา 3 นาย เสมอกัน เที่ยงธรรม 4 นาย สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ 5 นายก มล จิระพันธุ์วาณิช 6 นาย วีรพล อดิเรกสาร 7 นาย สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ 8 นาย อิทธิ ศิริลัทธยากร 9 นาย ทรงศักดิ์ ทองศรี 10 นาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ 11 ร.ท. กุเทพ ใสกระจ่าง ผู้ที่ลาออกจากการเป็น ส.ส.ไปแล้วประกอบด้วย 1 นาย สุขุมพงศ์ โง่นคำ 2 นาย สุธา ชันแสง 3 นาย สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ 4 พล.อ. เชษฐา ฐานะจาโร และ 5 .นาย พงศกร อรรณนพพร ส่วนผู้ที่ไม่เคยเป็น ส.ส.คือ นางอุไรวรรณเทียนทอง

นาย สุทธิพล กล่าวอีกว่า ส่วนผู้ถูกร้องที่เหลืออีก 44 คน นั้น มีจำนวน 6 คนเป็นรัฐมนตรี กกต.มีมติขยายเวลาการสอบสวน ให้อนุกรรมการฯอีก 15 วัน เพื่อให้ไปสอบสวน หาข้อมูลเพิ่มเติมจากการรายงานบัญชีทรัพย์สินหนี้สินของผู้ถูกร้องกับป.ป.ช. ตรวจสอบวัตถุประสงค์การก่อตั้งของบริษัทที่ผู้ถูกร้องเข้าไปถือหุ้น จากกรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ และขอข้อมูลจากบริษัทที่ถูกระบุว่า ผู้ถูกร้องเข้าไปถือหุ้นอีก 72 บริษัทที่อนุกรรมการฯยังไม่ได้รับคำตอบ เพราะตามรายงานระบุว่า อนุกรรมการฯได้มีหนังสือสอบถามข้อมูลไปยังบริษัทที่ถูกระบุว่าผู้ถูกร้องถือหุ้นอยู่ 306 บริษัท โดย ณ วันที่ 8 มิ.ย. ได้รับหนังสือชี้แจงมาเพียง 234 บริษัท ซึ่งในจำนวนนี้อนุกรรมการฯเห็นว่า ประกอบธุรกิจที่เข้าลักษณะต้องห้ามส.ส.และส.ว.เข้าไปถือครอบหุ้น 28 บริษัท แต่มีบางบริษัทที่ซ้ำกับบริษัทที่ได้มีการพิจารณาไปแล้ว 14 บริษัทจากการถือครองหุ้นของ ส.ว.

เลขา กกต.กล่าวว่า รวมทั้งให้อนุกรรมการฯ ให้โอกาสกับผู้ถูกร้องมาชี้แจงเพิ่มเติม เนื่องจากในจำนวนส.ส. 44 คน ได้มาชี้เพียง 12 คน และให้อนุกรรมการฯไปตรวจสอบว่ารายชื่อผู้ถูกร้องที่ดำเนินการอยู่มีความซ้ำซ้อนกับรายชื่อส.ส.ที่อนุกรรมการสอบกรณีที่นาย ศุภชัย ใจสมุทร ยื่นร้องเข้ามา อีก 28 คนหรือไม่ และมีคำซ้ำซ้อนกับรายชื่อกับของที่นายเรืองไกร ร้องนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และภรรยาหรือไม่ นอกจากนี้ให้ไปตรวจสอบว่าบริษัทที่อนุกรรมการฯมีมติว่าอาจเข้าข่ายต้องห้ามหถือครองหุ้น มีความสอดคล้องกับที่กกต.มีมติห้ามส.ว.เข้าไปถือครองหุ้นใน 14 บริษัทหรือไม่ เนื่องจากเกรงว่าหากมีกาวินิจฉัยไปโดยไม่ตรวจสอบว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ก็อาจกลายเป็นว่ากกต. 2 มาตรฐานได้

นายสุทธิพล กล่าวว่า การที่ให้อนุกรรมการฯไปสอบเพิ่มเติม ไม่ได้เป็นเพราะกกต.จะรอผลการสอบสวนของอนุกรรมการฯชุดที่กำลังสอบนายกษิต และชุดที่สอบ 28 ส.ส.ที่นายศุภชัย ร้อง แม้ว่าคณะอนุกรรมการฯดังกล่าวสอบสวนเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างการทำรายงานเสนอต่อประธาน กกต.ก็ตาม ซึ่งถ้าวันนี้อนุกรรมการสอบได้ข้อมูลครบถ้วนกกต.ก็สามารถวินิจฉัยได้ทันที รวมทั้งที่ยังไม่ได้วินิจฉัยก็ไม่ได้กลัวการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง

“ที่บอกว่ากกต.มีวาระซ้อนเร้น มีเจตนาจะกลั่นแกล้ง ยืนยันว่าจุดเริ่มเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่กกต.เราไม่ได้ไปขุดว่าคนนั้นคนนี้ถือหุ้นขัดมาตรา 48 และ 265 แต่มีผู้ใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญยื่นให้กกต.ตรวจสอบ เราไม่ได้จงใจต้องการไปดิสเครดิตใคร และจะเห็นว่าผู้ที่ถูกร้องเป็นส.ส.จากหลายพรรค ส.ว.ก็มีทั้งส.ว.สรรหาและส.ว.เลือกตั้ง เมื่อมีการร้องกกต.ก็ต้องพิจารณา โดยเห็นว่ามาตรา 265 เขียนไว้อย่างเคร่งครัดถ้อยคำชัดเจน ซึ่งก็ต้องเป็นไปอย่างที่กกต.เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าคนที่จะวางหลักได้ดีที่สุดก็จะเป็นรัฐธรรมนูญ แล้วกกต.ไม่ได้วางหลักเกณฑ์เอง ” นายสุทธิพล กล่าว

สำหรับ 44 ส.ส. และ รมต. ประกอบด้วย ในส่วนของพรรคเพื่อไทยจำนวน 23 คน ประกอบด้วย 1. นาย สุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน 2 .นาย สมพล เกยุราพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน 3 .พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส. นนทบุรี พรรคเพื่อไทย 4 .นาย อดุลย์ วันไชยธนวงศ์ ส.ส.แม่ฮ่องสอน 5 . นาง ปานหทัย เสรีรักษ์ ส.ส.แพร่ 6 . นาย เอี่ยม ทองใจสด ส.ส.เพชรบูรณ์ 7 . นาย ไพโรจน์ ตันบรรจง ส.ส.พะเยา 8 .นาย นิทัศน์ ศรีนนท์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย 9 .นาย ปวีณ แซ่จึง ส.ส.ศรีษะเกษ 10. นาย อิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ ส.ส.ลำปาง

11. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ 12. น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ 13. นายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย 14. นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ ส.ส.เชียงราย 15. ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น 16. นางดวงแข อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น 17. นายภูมิ สาระผล ส.ส.ขอนแก่น 18. พล.อ.สมชาย วิษณุวงศ์ ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย 19. นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส. กทม. 20. น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ ส.ส.สัดส่วน 21. นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน 22. นายอัสนี เชิดชัย ส.ส.สัดส่วน 23. พล.ต.อ.วิรุฬห์ พื้นแสน ส.ส.สัดส่วน

สำหรับ ส.ส. ในส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดิน จำนวน 8 คน ประกอบด้วย 1. นาง มลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ ส.ส.สุรินทร์ 2 .นาย สาธิต เทพวงศ์ศิริรัตน์ ส.ส.สุรินทร์ 3. นาย วัลลภ ไทยเหนือ ส.ส.สัดส่วน 4 .พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน 5 . ม.ร.ว.กิติวัฒนา (ไชยันตร์) ปกมนตรี ส.ส.สัดส่วน 6 .นาย ประนอม โพธิ์คำ ส.ส.นครราชสีมา 7. นาย สมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วน และ 8 .นาย อนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อแผ่นดิน

ส.ส. ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา จำนวน 2 คน ประกอบด้วย 1 .พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ส.ส.พิจิตร รองนายกรัฐมนตรี 2 . นาย อัศวิน วิภูศิริ ส.ส.สัดส่วน และ นาย เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม ซึ่งไม่ได้เป็น ส.ส.

ส.ส. ในส่วนของพรรคประชาราช จำนวน 3 คนประกอบด้วย 1 .น.ส. ตรีนุช เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว 2 .นาย สมชัย เจริญชัยฤทธิ์ ส.ส.นครสวรรค์ และ 3 .นาย เสนาะ เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว

ส.ส. พรรคภูมิใจไทย 3 คน ประกอบด้วย 1 . นาย บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา รมช.มหาดไทย 2. นาย มานิต นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคภูมิใจไทย รมช.สาธารณสุข และ 3 นาย ชัย ชิดชอบ ส.ส.สัดส่วน และประธานรัฐสภา

ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน คือนาย ไพฑูรย์ แก้วทอง ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ รมว.แรงงาน ส.ส. พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 2 คน 1 . นาย วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ส.ส.นครราชสีมา รมว.กระทรวงพลังงาน และ 2 .นาย สมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ส.ส.นครราชสีมา และ ส.ส. พรรคกิจสังคม 1 คน คือ นาย มนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ ส.ส.พิษณุโลก

นาย สุทธิพล ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้กกต.ยังมติขยายเวลาให้อนุกรรมการสอบสวน กรณีนายเรืองไกร ร้องขอให้สอบสวนการกระทำอันเป็นเหตุให้สิ้นสมาชิกภาพการเป็นส.ส.และรัฐมนตรีของนาย วรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.เพื่อไทย กรณีปกปิดการยื่นแสดงบัญชีหนีสินและทรัพย์สินในการเข้าดำรงตำแหน่งส.ส.และการพ้นจากตำแหน่งรมว.วัฒนธรรม โดยให้ขยายออกไปอีก 15 วันนับแต่วันที่ 21 มิ.ย.ถึง 5 ก.ค.น

"ชวรัตน์"รับเริ่มกังวลกกต.สอบส.ส.ถือหุ้น

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ( ภท. ) กล่าวถึงการวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต. ) เรื่องงการขาดคุณสมบัติของส.ส.กรณีถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ ว่า ตนยอมรับว่ามีความกังวลกับมติของกกต. ส่วนจะกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่นั้น ถ้ามีการตีความว่าส.ส.บางส่วนขาดคุณสมบัติ อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพบ้าง แต่คงไม่มาก เพราะเชื่อว่าเสียงของรัฐบาลยังมีจำนวนมาก ทั้งนี้ ในช่วงตอนโหวตลงคะแนน ส.ส.คงเข้าห้องน้ำไม่ได้

“เทพไท”ชี้ปชป.พร้อมสู้คดี ส.ส.ถือหุ้น ย้ำไม่แทรกแซง กกต.

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า พรรคกำลังรอผลการสรุปชี้มูลจาก กกต.ว่า จะมีส.ส.คนใดของพรรคบ้างที่ถูกชี้มูลและมีจำนวนมากเท่าไหร่ เพื่อเตรียมรับมือกับการสู้คดีในศาลรัฐธรรมนูญต่อไป โดยในการประชุมส.ส.พรรคในวันพุธที่ 24 มิ.ย.จะนำเรื่องดังกล่าวหารือด้วย เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนกระทบต่อสมาชิกภาพ ส.ส.มากถึง 28 คน และเป็นหน้าที่ของที่ประชุม ส.ส.พรรคต้องร่วมหาทางต่อสู้

นายกรับมนตรีเอง ไม่ได้รู้สึกกังวลและปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฏหมาย ส.ส.คนใดถูกโทษต้องถอดถอนสมาชิกภาพก็กลับไปเลือกตั้งใหม่ ส.ส.ในระบบสัดส่วนที่ถูกถอดถอนก็เลื่อนคนต่อไปขึ้นมาแทน คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 45 วัน และอยู่ในช่วงการประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติ ไม่สามารถที่จะยื่นญัติไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ จึงไม่เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแน่นอน

เปิดรับตร.หญิงปราบจลาจลเพิ่มรับมือม็อบ

พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับสมัครสอบแข่งขั้นบุคคลภายนอก เพศชาย อายุ 18-35 ปี หรือ คุณวุฒิทางสังคมศาสตร์หรือตามที่ ก.ตร.กำหนดขึ้นไปวุฒิปริญญาตรี นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และรัฐประสานศนศาสตร์ หรือเรียนกฎหมาย 3 วิชา คือ ป.อาญา ,ป.วิอาญา และกฎหมายลักษณะพยาน เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวน พ.ศ.2552 จำนวน 4,000 อัตรา แยกเป็นกลุ่มสายงานป้องกันและปราบปราม จำนวน 3,200 อัตรา และกลุ่มงานอำนวยการและสนับสนุน จำนวน 800 อัตรา

นอกจากนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาลยังเปิดรับสมัครบุคคลภายนอก สอบแข่งขันรับราชการตำรวจ โดยมีการรับสมัครสอบแข่งขันบุคคลภายนอกเพศหญิง อายุ 18-23 ปี ส่วนสูง 165 ซม. ขึ้นไป วุฒิปริญญาตรี นิติศาสตร์ ,รัฐศาสตร์ และรัฐประสานศนศาสตร์ หรือ กฎหมาย 3 วิชา คือ ป.อาญา ,ป.วิอาญา และกฎหมายลักษณะพยาน เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจ ทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนและอารักขารักษาความปลอดภัย จำนวน 150 อัตรา สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล

พล.ต.ต.สุพร กล่าวต่อว่า ในส่วนของ บช.น.นั้น กองบัญชาการศึกษาจะทำหน้าที่รับสมัครสอบคัดเลือก โดยจะมีตัวแทนจาก บช.น. เข้าร่วม เมื่อผ่านการสอบคัดเลือกและผ่านการฝึกแล้วสังกัด บช.น. จะมีการฝึกยุทธวิธีเพิ่มเติม และจะมีการทดแทน ปจ.หญิง ที่มีอยู่ และถือเป็นกรณีเร่งด่วนด้วย และในอนาคต จะมีการปรับเป็น กองร้อย ปจ. หญิงโดยเฉพาะในแต่ละกองบังคับการ

"มาร์ค"เตรียมนำพรก.พิกัดภาษีสรรพสามิตเข้าสภาส.ค.นี้

คมชัดลึก :รายงานข่าวจากที่ประชุมครม.วันนี้(23มิย.)เเจ้งว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวก่อนเข้าสู่วาระการประชุมครม. เกี่ยวกับร่างพรก.แก้ไขเพิ่มเติม พรบ.พิกัดอัตราภาษีสรรสามิตการขึ้นราคาน้ำมัน ที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาว่า ร่างกฎหมายนี้ จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในการเปิดประชุมสมัยนิติบัญญัติในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ และต้องใช้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่ง

ทั้งนี้ ก็มองว่า หากรัฐมนตรีที่เป็นส.ส.จะลงไปยกมือสนับสนุนได้หรือไม่ จึงมอบให้กฤษฎีกาไปดูข้อกฎหมายในเรื่องนี้ด้วยว่า รัฐมนตรีจะลงไปยกมือสนับสนุนได้หรือไม่

ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ขอบคุณครม.คนอื่น ๆ ที่ไปช่วยอภิปราย เรื่องนี้ เมื่อเกิดเหตุแล้วก็ต้องทบทวน เพราะตอนนี้ราคาน้ำมันก็ปรับขึ้นแล้ว ก็ต้องรอดูก่อน โดยภาระขอให้กองทุนน้ำมันเข้าไปรับผิดชอบ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ยังมีผลบังคับใช้ และเขายอมรับว่า ส.ว.แสดงความเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจ หวังดีและเป็นห่วงประชาชน โดยไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อน

ทั้งนี้ เมื่อเกิดเรื่องนี้ ก็เข้าใจข้อกังวลของส.ว. แต่สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น เพดานภาษีที่รัฐจะจัดเก็บลิตรละ 5 บาทก็ยังคงอยู่ หากราคาโลกเพิ่มขึ้นจริง เราก็อาจจะลดราคาลงได้ตามสมควร ไม่ใช่ว่า รัฐบาลจ้องจะเก็บภาษีจากประชาชนเพียงอย่างเดียว

"แม้ว"สั่งเสื้อแดงชุมนุมไล่รัฐบาล27มิ.ย.

คมชัดลึก :กลุ่มเสื้อแดงนับหมื่นชุมนุมที่พัทยา "ทักษิณ ชินวัตร"โฟนอิน ย้ำถึงเวลาทวงประชาธิปไตยคืน อ้อนอยากกลับบ้าน สั่งเสื้อแดงร่วมชุมนุมไล่รัฐบาลที่ท้องสนามหลวง 27 มิ.ย.นี้



ช่วงคืนวันที่ 23 มิถุนายน กลุ่มคนเสื้อแดงพัทยา ได้ตั้งเวทีปราศัยที่บริเวณปาก ซอยเขาตาโล พัทยาใต้ หมู่ 13 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงอาทิเช่น นายวีระ มุสิกพงษ์ นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายสุรชัย แซ่ด่าน นายขวัญชัย ไพรพนา และ นางจุลีพร สินธุไพร แกนนำคนเสื้อแดงพัทยาขึ้นปราศรัยบนเวที ซึ่งบรรยากาศไปไปอย่างคึกคักโดยมีกลุ่มเสื้อแดงพัทยาและจังหวัดใกล้เคียงทยอยเดินทางเข้าร่วมอย่างต่อเนื่องกว่า 1 หมื่นคน ส่งผลการจราจรบนท้องถนนติดขัดเป็นระยะ ส่วนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง สภ.บางละมุง สภ.เมืองพัทยา ได้มีการวางกำลังเอาไว้รอบๆบริเวณงานกว่า 100 นาย และ ได้มีการตั้งด่านตรวจตามเส้นทางต่างๆ

ต่อมาเวลา 21.30 น. พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์โฟนอิน เข้ามาทักทายกลุ่มคนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมกว่า 20 นาที พร้อมกล่าวขอบคุณกลุ่มเสื้อแดงพัทยาที่เข้าร่วมในการประชุมอาเซียน โดยอ้างว่าเพียงเพื่อเข้าไปยื่นหนังสือไม่วางใจรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เจอกลุ่มเสื้อสีน้ำเงินซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐยุยงและทำร้ายจนเกิดเหตุความวุ่นวายจนต้องล้มเลิกการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งดังกล่าวไป

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ กล่าวว่า ประชาธิปไตยไทยปัจจุบันมีปัญหาเพราะนักการเมือง ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่สนใจแต่ผลประโยชน์ตัวเองประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นเกิดในช่วงสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเพราะมีการใช้รัฐธรรมนูญปี 40 เป็นที่มาของโครงการต่างๆ ทั้งโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการกองทุนหมู่บ้าน ก็ได้กำเนิดขึ้นเพราะประชาธิปไตย และรัฐบาลของตนขณะนั้นได้สำนึกในบุญคุณของประชาชนจึงดำเนินโครงการดังกล่าวขึ้นมาซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งในประชาธิปไตยเช่นกัน

“ถึงเวลาทวงประชาธิปไตยคืนให้ประชาชนเสียที ไม่รู้ว่าประเทศไทยไปทำเวรทำกรรมอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ไว้เพราะสมัยที่ประเทศเป็นหนี้ IMF ก็มาจากการบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อผมได้มาเป็นรัฐบาลก็ช่วยปลดหนี้ให้ และตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลก็ยังจะไปกู้เงินมาอีกซึ่งมากกว่าเดิมหลายแสนล้านบาท " พ.ต.ท.ดร.ทักษิณกล่าว

จากนั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่าตอนนี้รู้สึกเหงาและเป็นห่วงประชาชน อยากกลับบ้าน นี่ก็ 3 ปีแล้วที่ไม่ได้กลับไทย เดือนหน้าอายุ 60 แล้ว ยังมีแรงทำงานให้ประชาชนอยู่ แต่ถ้าอายุ 65 ปี คงทำงานไม่ไหว อยากให้พี่น้องเสื้อแดงพากลับบ้าน พากลับไปช่วยล้างหนี้ให้ประเทศ พร้อมกล่าวปลุกระดมให้พี่น้องเสื้อแดงเดินทางไปร่วมชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ พร้อมกันในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ที่สนามหลวง

หลังจากที่ เสร็จสิ้นการโฟนอินของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ยังมีแกนนำคนเสื้อแดงขึ้นกล่าวปราศรัยโจมตีรัฐบาลต่อเนื่อง แต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง

Sunday, May 31, 2009

“เทพไท” จี้หางแดงเลิกชุมนุมป่วนชาติ ชี้ควรให้โอกาส รบ.ทำงานฟื้นฟูประเทศ

“เทพไท” จี้กลุ่มคนเสื้อแดงเห็นแก่คนไทยทั้งประเทศ ยุติการชุมนุมเคลื่อนไหวป่วนชาติ ระบุความรุนแรงช่วงสงกรานต์ถือเป็นฝันร้ายที่คนไทยไม่อยากเจออีก ย้อนถามแกนนำเสื้อแดงหวังผลอะไรทางการเมืองเกี่ยวกับการชุมนุมครั้งนี้หรือไม่ ชี้หากไม่ชอบรัฐบาลก็ขอให้เห็นแก่ความบอบช้ำของชาติบ้านเมือง พร้อมทั้งควรให้โอกาสรัฐบาลได้ทำงานเพื่อฟื้นฟูประเทศก่อน

วันนี้ (31 พ.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประกาศนัดชุมนุมใหญ่ของแกนนำคนเสื้อแดงที่จะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ ซึ่งตนไม่อยากให้ภาพความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงกลับมาหลอกหลอนคนไทยทั้งชาติอีก เพราะในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุความรุนแรงที่ทำให้คนไทยตกอยู่ในฝันร้าย ไม่อยากให้เกิดขึ้นและหวนกลับไปอีก

สำหรับการนัดชุมนุมครั้งนี้ไม่รู้ว่าแกนนำคนเสื้อแดงหวังผลอะไรทางการเมืองหรือไม่ หรือจะชูประเด็นการขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีก แต่เชื่อว่าคงไม่มีน้ำหนักมากพอ เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ได้รับการยอมรับจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นทุกวัน หรือกลุ่มคนเสื้อแดงยังทำใจไม่ได้ที่รัฐบาลกำลังพาชาติไปสู่ความสำเร็จ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งหากไม่ชอบรัฐบาลก็ขอให้เห็นแก่ประเทศชาติที่ต้องบอบช้ำจากน้ำมือของกลุ่มคนเสื้อแดงมามากแล้ว จึงขอเรียกร้องให้แกนนำคนเสื้อแดงยุติการเคลื่อนไหว เพื่อให้โอกาสรัฐบาลมากกว่าที่จะจ้องแต่ฉุดรั้ง หรือขัดขวางการทำงาน เพื่อไม่ให้รัฐบาลทำงานได้ โดยถ้าหากกลุ่มคนเสื้อแดงให้โอกาสรัฐบาลก็เท่ากับว่าให้โอกาสชาติบ้านเมืองด้วยเช่นกัน

มาตรฐานมือปราบคอร์รัปชั่น

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ออกมาเน้นย้ำในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ว่าจะให้ความสำคัญกับการตรวจสอบ ทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งในส่วนของ รัฐบาล และ ราชการ

เป็นการตอกย้ำจุดยืนทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากนายกฯ คนที่ 27 ประกาศ กฎเหล็ก 9 ข้อ โดยเฉพาะ ข้อ 2 ให้เน้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ข้อ 8 รัฐบาลต้องพร้อมรับการตรวจสอบเชิงนโยบายและเรื่องอื่น ๆ และข้อ 9 รมต. ไม่มีสิทธิเหนือประชาชนในแง่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ความรับผิดชอบทางการเมืองมีมาตรฐานสูงกว่า ต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนและรัฐบาล

นายวิฑูรย์ นามบุตร ถือเป็น รมต.รายแรกที่ พรรคประชาธิปัตย์ ต้องยอมเสียสละเพื่อรักษาจุดยืนและความศรัทธาของประชาชน แต่ เมกะโปรเจคท์ ในอุ้งมือ พรรคร่วมรัฐบาล ที่หลายฝ่ายกังขา อาทิ โครงการเช่ารถเมล์ การประมูลขายสินค้าเกษตร ยังเป็นเรื่องที่ต้องรอการพิสูจน์มาตรฐานการปราบคอร์รัปชั่นของนายอภิสิทธิ์

หากย้อนไปดูต้นแบบทางการเมืองของ หนุ่มมาร์ค นั่นคือ นายชวน หลีกภัย ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ทั้ง 2 สมัย ได้ประกาศจุดยืนที่เด่นชัดไว้ว่า ไม่ต้องรอให้มีใบเสร็จ มาเป็นหลักฐานก็จะจัดการ รมต. ที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย นโยบายรัฐบาลได้กำชับไม่ให้เกิดพฤติกรรมเหล่านี้ขึ้น หากใครฝ่าฝืนก็ทำงานร่วมกันยาก เพราะรัฐบาลไม่สามารถไปโอบอุ้มหรือทำงานร่วมกับคนเหล่านี้ได้ รัฐบาลนี้มาจากประชาชนและมั่นใจว่าจะไม่เข้ามาหาผลประโยชน์ แต่ถ้ามีพฤติกรรมเช่นนั้นก็จะเสียหายกับ ครม. โดยรวม.

'มาร์ค'แนะใช้ทรัพยกรให้คุ้มค่า

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. เวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันที่ 5 มิ.ย. เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก เป็นวันที่ทางโลกจะมีการรณรงค์ในเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะขณะนี้มีความตื่นตัวในเรื่องของปัญหาโลกร้อน ปัญหาความแปรปรวนในเรื่องของภูมิอากาศ ดินฟ้าอากาศ รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งคำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกเหนือจากเรื่องของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจแล้ว ก็คือเรื่องของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด เราต้องเก็บทรัพยากรธรรมชาติเอาไว้ให้ลูกหลานของเรามีใช้ด้วย ไม่ใช่ว่ามุ่งในเรื่องของการพัฒนาจนทำให้ทรัพยากรธรรมชาตินั้นเสื่อมไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีมาตรการและนโยบายหลายเรื่อง ซึ่งรัฐบาลต้องการจะผลักดันเป็นนโยบายสำคัญ และได้ดำเนินการอยู่ เริ่มต้นตั้งแต่ในเรื่องของการสนับสนุนพลังงานทดแทน ขณะเดียวกันในการพัฒนาเศรษฐกิจ หรือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคลงทุนเอง ขณะนี้กำลังดูในเรื่องของการเพิ่มพูนสิทธิประโยชน์ แรงจูงใจในการลงทุน สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการนั้นตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเทคโนโลยีอาจจะเป็นภาคอุตสาหกรรม หรือ จะเป็นภาคการท่องเที่ยวก็ได้ ที่จะมาใช้เทคโนโลยีแล้วเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือลดความสิ้นเปลืองในการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงนี้ก็เป็นกลยุทธ์สำคัญหรือยุทธศาสตร์สำคัญต่อไปในอนาคตด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกเหนือจาก ภาพใหญ่ในเรื่องพลังงาน อุตสาหกรรม หรือการท่องเที่ยวแล้ว สิ่งที่อยากจะย้ำกับประชาชนทุกคนว่า ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนมีส่วนร่วม และมีส่วนช่วยได้ เราต้องร่วมกันแก้ไข แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเองก็เป็นแนวพระราชดำริ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ ส่งผลในเรื่องของการรักษาความสมดุลในทุก ๆ ด้าน ซึ่งรวมถึงความสมดุลทางด้านธรรมชาติ ทางด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมโดยรวม โครงการในเรื่องของชุมชนพอเพียงที่เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนจัดทำโครงการมาขอสนับสนุนเงินทุนจากภาครัฐ ก็เป็นโครงการที่ให้ โอกาสในเรื่องของโครงการใดก็ตามที่จะมีส่วนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.

'กษิต'แจงปม-เยือนบังกลาเทศหวังถก'โรฮิงญา'ช่วยทางออก

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ผู้สื่อรายงานว่า ในวันที่ 1-3 พ.ค.นี้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ จะเดินทางไปหารือกับรัฐบาลบังกลาเทศ ในภาพรวมทั้งในเรื่องของความสัมพันธ์ทวิภาคี ความร่วมมือการค้า การลงทุน นอกจากนี้ก็จะไปหารือในเรื่องของปัญหาโรฮิงญา ที่ไทยก็ประสบ ปัญหาหลบหนีเข้าเมืองมาอยู่จำนวนมาก ในเมื่อรัฐบาลบังกลาเทศได้เดินทางเยือนประเทศพม่า และทราบมาว่าเขาได้มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้เช่นกันนั้น ทางนายกษิตเอง ก็จะไปพูดคุยถึงท่าทีของเรา และของเขาว่าจะเป็นอย่างไร ตั้งใจจะไปหารือถึงทางออก หรือกรอบการช่วยเหลือให้บุคคลเหล่านี้ว่าจะสามารถช่วยเหลือกันได้อย่างไร ไม่ให้พวกเหล่านี้ย้ายออกจากพื้นที่มีอยู่ เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับภูมิภาค ซึ่งเขาเองก็แบกรับปัญหานี้มานานถึง 30 ปี และประเทศบังกลาเทศก็เป็นประเทศที่ยากจน มีทรัพยากรจำกัดไม่อยากรับก็ต้องรับ

นอกจากนี้นายกษิต ยังจะไปให้คำตอบกับรัฐบาลบังกลาเทศ ว่า กรณีที่ประเทศบังกลาเทศเคยขอให้ประเทศไทยยกเว้นการตรวจหนังสือเดินทางนั้น ทางรัฐบาลไทยได้พิจารณาแล้วก็จะยกเว้นหนังสือเดินทางทูต ผู้ที่ร่วมเดินทางมาในประเทศไทย ซึ่งจะไปแจ้งให้เขาทราบว่าเราได้มีการยกเว้นให้แล้วกับหนังสือเดินทางบางประเภทเท่านั้นและจะให้มีระยะเวลาอยู่ในประเทศไทยได้ประมาณ 30 วันเท่านั้น.

'ดีเอสไอ'เดินหน้าลุยสาง8คดีพิเศษ

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 31 พ.ค. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า จากการประชุม คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา และคณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติดำเนินคดีความผิดอาญาไว้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 จำนวน 8 คดีนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงประชุมผู้ บริหารกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อกำหนดมาตรการ เชิงรุกและวางแผนดำเนินการร่วมกัน ซึ่งในเบื้องต้นได้มอบหมายผู้รับผิดชอบหลักเพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

สำหรับ 8 คดี ประกอบด้วย 1.เรื่องการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา 2.คดีความผิดเกี่ยวกับการปลอมและใช้เอกสารสัญญาการค้าข้าวระหว่างประเทศปลอม เพื่อฉ้อโกงสถาบันการเงินนำไปยื่นขอสินเชื่อเพื่อกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ประมาณ 9 แห่ง มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท 3.คดีนายหน้าจัดทำบัตรบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนโดยมิชอบให้ กับชนเผ่าโรฮิงยาและคนต่างด้าวอื่น ในเขตพื้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ 4.คดีฮั้วประมูลใน จ.สุพรรณบุรี 4 รายการ วงเงินประมาณ 44 ล้านบาท

5.ทุจริตนมโรงเรียนในพื้นที่ จ.ชุมพร 6.ทุจริตในการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังของรัฐบาล จำนวน 10 ล้านตัน โดย มีวงเงินรับจำนำรวมทั้งสิ้น 19,625 ล้านบาท ใน 44 จังหวัด 7.เรื่องกรมสรรพากรร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญากับบริษัทมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำนวนรวม 289 ล้านบาทเศษ และ 8.คดีการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ที่ อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ.

ภท.ถอยรถเมล์ฉาวชวดเข้าครม.

ปธ.วุฒิฯแนะ รบ.ตรวจสอบควรให้ชะลอ!

"เสี่ยจิ้น"แจงเหตุ"รถเมล์ฉาว"ชวดเข้า ครม.สัปดาห์นี้ ประชด"มาร์ค"งานรัดตัวไม่มีเวลาศึกษารายละเอียด ลั่นไม่ถอยโครงการแน่ ขณะที่"เทพเทือก"ปัดแตกหัก"ภูมิใจไทย"พร้อมเป็นมือประสานจนถึงทางตัน ยัน “มาร์ค” จุดยืนชัดไม่ร่วมทางโคตรโกง ประสานเสียงนายกฯ จุดกระแสปราบคอร์รัปชั่น-เชือดค้ายา-ดับไฟใต้ นัดถก รมต.ค่ายพระแม่ธรณีสางปัญหา ฟาก “ปู่สุข” จับตาบุฟเฟ่ต์คาบิเนต “ส.ว.ลากตั้ง” หนุนยกรถเมล์เช่าให้ “กทม.” ดูแล ด้าน “เพื่อไทย” ลงพื้นที่หาข้อมูลทุจริตวันพรุ่งนี้ เตือนรถเมล์เอ็นจีวีระเบิดทำ ครม. เดี้ยงทั้งคณะ แถมเสี้ยม “ภท.” ผวาตาอยู่ “กทม.” ฮุบรถเมล์ฉาว ส่วน “มาร์ค” วอนทุนกิมจิอย่าทิ้ง อาเซียน

“มาร์ค” อ้อน ส.ส.-ส.ว. ผ่านงบ

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. เวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าว ในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ว่า วันที่ 3 มิ.ย. นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยว่าการตราพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากมีคำวินิจฉัยว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญก็จะเร่งนำ พ.ร.ก. ดังกล่าวไปขอความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป

นายกฯ กล่าวต่อว่า รัฐบาลตั้งใจจะเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญตั้งแต่วันที่ 15-23 มิ.ย. เพื่อนำ พ.ร.ก.ดังกล่าว รวมทั้งร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เสนอเข้าสู่สภา ทั้งนี้อยากจะขอความร่วมมือจากเพื่อนสมาชิกรัฐสภาให้ความเห็นชอบในส่วนนี้ คิดว่าจะให้จบในช่วงสมัยวิสามัญ และเริ่มต้นใช้งบตามปกติ คือ วันที่ 1 ต.ค. นี้

โว 2 ยักษ์ยานยนต์เล็งลงทุนเพิ่ม

“ผมมั่นใจถ้าเดินตามแนวนี้ แล้วเราได้คัดเลือกโครงการซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการเร็ว สำคัญที่สุดคือมากระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน 1.5-2 ล้านคนในช่วง 3 ปีข้างหน้า เป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายต้องการ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็วขึ้น เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น การจัดเก็บรายได้ของรัฐจะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย และวันนั้นจะมีเงินที่ย้อนกลับไปชำระหนี้ตรงนี้ได้ ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงในเรื่องของเสถียรภาพหรือความมั่นคงของเศรษฐกิจ” นายอภิสิทธิ์ ระบุ

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยานยนต์ 2 บริษัท ทั้งจีเอ็มและฟอร์ดกำลังพิจารณาแผนขยายการลงทุน ในประเทศไทย แสดงว่าบริษัทดังกล่าวมองเห็นศักยภาพของไทย แม้แต่เรื่องการท่องเที่ยวรัฐบาลก็จะสนับสนุนเรื่องนี้ และจะมีนักกีฬา บุคคล สำคัญต่าง ๆ เดินทางมาประเทศไทย เช่น แชมป์โลกแมนนี ปาเกียว ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างความเชื่อมั่น เสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

ยันพรรคร่วมไม่คว่ำ พ.ร.ก. กู้เงิน

ต่อข้อถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่อง พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทผ่านและเมื่อนำเข้าสู่สภาจะผ่านหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคยังมีความต้องการที่จะทำงานด้วยกัน จึงเป็นเรื่องที่ทุกพรรคต้องไปทำความเข้าใจกับสมาชิกและวิปจะต้องทำงานหนัก ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะเลขาธิการพรรคแกนนำก็คงจะต้องทำความเข้าใจ ใครติดใจก็มาสอบถามกัน

“พ.ร.ก.ผ่านสภาก็เข้าวุฒิสภา แต่ว่าอันนี้ให้ความเห็นชอบอย่างเดียว ไม่มีวาระ 2-3 ถ้าเป็นไปตามปฏิทินนี้ 22-23 มิ.ย. ถือว่าผ่าน กระทรวงการคลังตั้งใจว่า เงินที่จะต้องเอาเข้ามาประมาณเดือน ส.ค. ไม่เกิน 2 แสนล้านมาเสริมฐานะการคลัง อีก 2 แสนล้านจะมีโครงการ ผมได้ให้สำนักงบประมาณ สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปคุยกับกระทรวงการคลังและกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้เอาแผนการใช้เงินให้สภาดูด้วย ส่วน พ.ร.บ.อีก 4 แสนล้านเพียงรับหลักการ รายละเอียดต่าง ๆ จะไปแปรก็ว่ากันไป” นายกฯ อธิบายขั้นตอนในสภา

ทุกโครงการยึดประโยชน์ “ปชช.”

ส่วนที่พูดว่ามีรอยร้าวในรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างมีแน่นอน เป็นเรื่องของมาตรการการทำงาน แต่ต้องพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล สำคัญที่สุดคือต้องยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นข้อยุติ ตนเชื่อมั่นว่าเราล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมือง จะพรรคเดียวกันหรือคนละพรรคก็ตาม สุดท้ายถ้าหากว่ายึดประโยชน์ประชาชน ทุกคนก็พอใจ แต่ถ้าเราไม่ยึดประโยชน์ประชาชน ถึงเราตกลงกันเองได้ แต่วันข้างหน้าก็ไปไม่ได้ ถ้าถามประชาชนทุกครั้ง ว่าไม่ชอบอะไรที่สุดในเรื่องการเมือง มี 2 เรื่อง ติดอันดับตลอด คือ ความขัดแย้ง กับการทุจริต เพราะฉะนั้นอยากจะบอกว่าเวลามีความคิดเห็นที่แตกต่างก็เห็นการรายงานของสื่อจะเน้นอยู่ตรงนี้ แต่จริง ๆ แล้วอยากให้เน้นว่า รัฐบาลกำลังเอาเนื้องานมาพูดกัน

ขู่เชือด “ทุจริต-ยาเสพติด-โจรใต้”

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลทำงานเข้าสู่เดือนที่ 6 มีการสะท้อนความคิดเห็นผ่านโพล ต่าง ๆ นานา ล่าสุดมีการพูดถึงความพึงพอใจ ในการทำงานของรัฐบาลในหลายแง่มุม ตนรับฟังเสียงที่สะท้อนออกมาจากประชาชนและขณะนี้ มีอยู่ 3 เรื่องที่ต้องเร่งรัดปรับปรุง คือ 1.การแก้ไขปัญหายาเสพติด ประชาชนหลายพื้นที่ร้องเข้ามาว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง หลังจากที่ตน เดินทางกลับจากเกาหลีแล้วจะมาติดตามเรื่องนี้เป็นพิเศษ

2.ปัญหาภาคใต้ แม้ความถี่ของเหตุ การณ์อาจจะลดลง แต่สถานการณ์โดยรวมยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ตนในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) ได้ปรับโครงสร้างกำลังต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปจะไปดูเรื่องการประสานงานระหว่างหน่วยต่าง ๆ และ 3.การทุจริตคอร์รัปชั่นในแวดวงของรัฐบาลและราชการ ถ้าประชาชนมีเบาะแสสามารถร้องเรียนมาที่ตนหรือร้องมาที่รัฐบาล ขอยืนยันว่าจะดูแลเอาใจใส่คำร้องเรียนเหล่านี้อย่างจริงจัง ให้มีการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ให้เกิดความโปร่งใส

“เทือก”นัด รมต.“ปชป.”หารือ

วันเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้นัดรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรับประทานอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารจีนภายในโรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ โดยมีบรรดารัฐมนตรีของพรรคทั้ง 15 คน ทยอยเดินทางมาร่วมงานนี้อย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ นาย กษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ นายธีระ สลักเพชร รมว. วัฒนธรรม นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น และมีรายงานว่าค่าอาหารเบ็ดเสร็จรวม 21,000 บาท

นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ว่า การนัดรัฐมนตรีของพรรคมารับประทานอาหารได้ถือโอกาสแจ้งให้รัฐมนตรีของพรรคทราบถึงเรื่องความมั่นคงของประเทศที่ตนรับผิดชอบอยู่ เพราะมีความหนักใจในบางเรื่องบางประเด็น ขณะเดียวกันได้รับฟังปัญหาและความหนักใจของรัฐมนตรีที่ทำงานมา 4-5 เดือน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงการทำงานให้เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมถึงให้ทันเวลาและสถานการณ์

ปูดบ้านเมืองแตกแยกทุกวงการ

รองนายกฯ กล่าวยืนยันว่า ยังไม่มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี ส่วนกรณีที่รัฐมนตรีบางคนไม่เป็นที่รู้จักของประชาชนเป็นเรื่องธรรมดา เห็นใจรัฐมนตรีบางคน เพราะงานที่รับผิดชอบไม่รู้จะ ประชาสัมพันธ์อย่างไร แต่ตนดีใจที่รัฐมนตรีหลายคนที่อยู่ในลำดับสูงกว่าตน เพราะขนาดตนพบสื่อทุกวัน ผลการประเมินยังสอบได้ที่โหล่

“เรื่องที่พูดกันวันนี้เป็นเรื่องของรัฐบาล เป็นเรื่องของส่วนรวมว่าทำอย่างไรจึงจะให้ประเทศ อยู่รอดได้ และให้ประชาธิปไตยไปในแนวทางที่ถูกต้องและสมควรจะเป็น ไม่ใช่มาคุยเรื่องของผม เรื่องของผม ผมแก้ปัญหาเองได้ ความจริงเรื่องของผมมีอะไรที่ลึกลับกว่านั้นอีก แต่ผมไม่ประสงค์จะพูด ผมจะปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์กติกา เชื่อว่าในวันหลัง ๆ สื่อและประชาชนจะทราบเอง” นายสุเทพ กล่าวและว่า ตอนนี้มีคนพยายามทำให้บ้านเมืองแตกแยกรุนแรงมากในทุกวงการ ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนกังวลใจ เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็อยากจะทำให้บ้านเมืองมั่นคงจริง ๆ อะไรจะเกิดขึ้นกับตนได้ทั้งนั้น

อ้าง “มาร์ค” ไม่ให้ รมต. โกงกิน

นายสุเทพ ยังกล่าวถึงข่าวความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยในเรื่องโครงการขนาดใหญ่ว่า จุดยืนของรัฐบาลนี้ ถ้าประชาชนและสื่อมวลชนเห็นว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นหรือทำผิดกฎหมาย ขอให้ส่งมาที่นายกฯ โดยตรง ตนรับรองว่านายกฯ จะดำเนินการและจะจัดการทันทีโดยไม่คำนึงว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรค ร่วมรัฐบาลอื่น เพราะเราจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เนื่องจากรู้ดีว่าประชาชนคาดหวังกับนายกฯ มาก แต่ถ้าไปจินตนาการเอาเองว่าจะเกิดเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้แล้วมาชวนให้เราทะเลาะกันก็คงไม่ถูกต้อง

เมื่อถามว่า โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันจนถึงตอนนี้ยังไม่ถือว่ามีปัญหาใช่ หรือไม่ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่อยากพูดตรงนี้ แต่อยากบอกว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีการนำเงินของรัฐบาลหรือเงินภาษีประชาชนไปใช้แม้แต่บาทเดียว ตนไปเจรจากับพรรคภูมิใจไทยว่าต้องให้รถเมล์จำนวนนี้ผลิตในประเทศเกินครึ่ง ในที่สุดก็แก้เป็นผลิตในประเทศร้อยละ 70 ส่วนเรื่องราคาเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันใน ครม.ว่าจะอนุมัติหรือไม่

อ้ำอึ้งคำถามแตกหัก“ภูมิใจไทย”

เมื่อถามต่อว่า ให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่าโครงการนี้จะไม่มีการเกี้ยเซี๊ยะกันในทางการเมือง เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า ให้เอาบ้านเมืองเป็นหลักดีกว่า รัฐบาล จะอยู่หรือไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอให้ บ้านเมืองอยู่ได้ก็แล้วกัน ต่อข้อถามว่า โครงการนี้จะกลายเป็นจุดแตกหักในการทำงานร่วมกัน หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนพยายามแก้ปัญหาไปเรื่อย ๆ ถ้าแก้ไม่ได้ก็จนปัญญา เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันหรือไม่ว่าจะยอมแตกหักกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน รองนายกฯ กล่าวว่า ตนคงไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์ มัน ๆ อย่างนั้น และจะไม่พูดเรื่องแตกหักกับใคร เพราะเป็นผู้ประสานงาน แต่สิ่งที่ตนจะทำคือทำให้รัฐบาลยืนหยัดอยู่ได้และแก้ปัญหาบ้านเมือง เพราะปัญหาใหญ่คือความมั่นคงของบ้านเมือง

แจงฝุ่นจางจะเข้าใจคดีน้องชาย

ส่วนรัฐบาลจะสามารถทำงานไปได้นานแค่ไหนนั้น รองนายกฯ กล่าวเลี่ยงว่า ตนพยายามทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน และไม่ห่วงเรื่องที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไปต้อนรับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และการที่ตนทำใจได้และรู้สึกสบายใจ เพราะตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และพยายามมองโลกในแง่ดี

เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีพรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้ ลาออกจากทุกตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนคดีการทุจริตเลือกตั้งนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุราษฎร์ธานี โดย กล่าวเพียงว่า “ขอให้ติดตามเรื่องนี้ไป 2-3 วัน จะเข้าใจอะไรมากขึ้น ผมไม่ขอพูดอะไรเกี่ยว กับศาล”

แนะ รมต.อ่อนหัดปรับปรุงตัว

รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า นายสุเทพ ได้พูดกับรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ใครที่รู้ตัวว่าเป็นจุดอ่อนก็ขอให้ปรับปรุงตัว และต้องเร่งประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลให้ประชาชนได้รับทราบ ใครที่ลงพื้นที่อยู่แล้วก็ขอให้ทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง และขอให้รัฐมนตรีทุกคนทำงานในทิศทางเดียวกัน ขอให้ทุกคนช่วยกันคิด ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ติดตามสถานการณ์ เพราะฝ่ายตรงข้ามพยายามทำให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะช่วง 8 ปีที่ผ่านมาได้ใจข้าราชการไว้จำนวนมาก

ข่าวแจ้งว่า นายสุเทพ ยังได้เล่าถึงการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว และบอกว่า ทุกกระทรวงจะต้องมาทำแผนร่วมกันในการดูแลปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ให้ลดความรุนแรงลงให้ได้ภายใน 3 ปี โดยรัฐบาลจะทุ่มงบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ลงไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้

หวั่นนายทุนพรรคไม่สบายใจ

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. สำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางส่วนยังไม่พอใจการทำงานของรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันภายในพรรค เชื่อว่าวัฒนธรรมของพรรค ทุกคนเป็นพี่น้องกันจะพูดคุยกันได้ เพราะข่าวที่เกิดขึ้นอาจทำให้ผู้สนับสนุนพรรคเกิดความไม่สบายใจ เกรงจะมีปัญหาถึงขั้นกระทบเสถียรภาพรัฐบาล นายเฉลิมชัย ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นคนที่กระตือรือร้นในการนำปัญหาประชาชนมาสะท้อนให้พรรคฟัง ดังนั้นการเคลื่อนไหวหรือการให้สัมภาษณ์จึงอาจเป็นที่สนใจ แต่ไม่มีอะไร ใครมาเป็นรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับให้ได้

ส่วนที่ ส.ส.บางคนระบุว่าถ้ารัฐมนตรีไม่ปรับปรุงตัวหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจไม่โหวตให้นั้น รมต.สำนักนายกฯ กล่าวว่า ก็ดีที่มีการตรวจสอบกันเองในพรรค รัฐมนตรีต้องรับผิดชอบทั้งต่อประชาชนและต่อพรรค แต่อย่าทำให้ประชาชนรู้สึกว่ามีการต่อรองอะไรหรือไม่ อย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่มา 62 ปี ตอนเหตุ 10 มกราคม ยังอยู่ในใจทุกคน เพราะเราเจ็บปวดและแพ้เกือบทั้งประเทศ

ขวิด“ภท.”อย่าล็อกสเปกรถเมล์

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า อยากฝากข้อเสนอไปยังรัฐบาลและพรรคภูมิใจไทยที่เป็นเจ้าของโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคันว่าต้องทำความเข้าใจและชี้แจงกับสังคมให้ชัดเจนว่าโครงการดังกล่าวมีความสำคัญต่อประชาชนอย่างไร และตนเชื่อว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ เพราะเป็นบริการสาธารณะที่เป็นทางเลือกให้กับประชาชน ที่มีรายได้น้อย

ส่วนค่าเช่าที่ลดจาก 1 แสนล้านบาทเหลือ 6.7 หมื่นล้านบาทนั้น นายสาธิต กล่าวว่า นายกฯ พยายามตรวจสอบเรื่องงบประมาณค่าเช่า รวมถึงค่าซ่อมว่าแพงกว่าปกติหรือไม่ ดังนั้นอยากให้สังคมและสื่อมวลชนติดตามข้อมูล 2 เรื่อง คือ 1.โครงการนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่ และ 2.มีหลักฐานว่าฝ่ายใดจะแสวงหาผลประโยชน์หรือไม่ และที่สำคัญคือเจ้าของโครงการต้องสามารถตอบให้ได้ว่าไม่มีการล็อกสเปกเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาประกวดราคา

เย้ย “ทรท.” จัดเช็งเม้งการเมือง

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมครบรอบการยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า มีผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองมาร่วมงานหลายคน และพูดถึงประเด็นทางการเมือง ซึ่งตนเรียกว่าเป็นงานเช็งเม้งทางการเมือง เพราะผู้ถูกตัดสิทธิเหล่านี้มาร่วมรำลึกถึงวีรกรรมของตัวเอง ที่ทำผิดกฎหมาย และพยายามใส่ร้ายรัฐธรรมนูญ ปี 2550 เพื่อให้สังคมเห็นว่าเป็นอุปสรรคและเงื่อนไขที่ขัดขวางให้คนเหล่านี้เข้าสู่การเมืองได้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ตนคิดว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ได้พัฒนา และอุดช่องว่างของรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยผ่านประชามติของประชาชน การที่คนเหล่านี้จะ วิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญอย่างสาดเสียเทเสียนั้น ก็อยากให้ไปดูเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนซึ่งเป็นที่มาของการยอมรับรัฐธรรมนูญปี 2550 ด้วย

“เสี่ยจิ้น” ใส่เกียร์ถอยรถเมล์ฉาว

ขณะเดียวกัน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ระบุว่าในการประชุม ครม. วันที่ 3 มิ.ย. นี้จะยังไม่มีการพิจารณาโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน มูลค่า 6.7 หมื่นล้านบาทว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด เห็นจากข่าวในหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่นายกฯ อาจไม่ได้รับความกระจ่าง จึงต้องศึกษามากกว่านี้ โครงการจะไม่ถอน แต่อาจต้องเลื่อนไปบ้าง เพราะวัน ๆ ไม่ได้ทำงานนี้งานเดียว ท่านมีงานร้อยแปด จึงอาจยังไม่ได้ศึกษา และท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาลต้องตอบทุกปัญหาให้ประชาชนกระจ่างชัดว่าทุกอย่างโปร่งใสพิสูจน์ได้ เมื่อถามว่าโครงการนี้จะเป็นปัญหาในการร่วมรัฐบาลหรือไม่ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ตอบว่า ได้อธิบายไปแล้วเมื่อครู่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะนายกฯ ต้องการศึกษารายละเอียด

ทำมึน “ตีท้ายครัว” ดูดข้ามค่าย

ต่อข้อถามว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงาน รมว.มหาดไทย พยายามตีท้ายครัวพรรคประชาธิปัตย์เพื่อดึงนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ นายชวรัตน์ หัวเราะก่อนตอบว่า “คำว่าตีท้ายครัว ผมไม่เข้าใจ” แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับผู้แทนทุกคนมีวุฒิภาวะดี มีความคิด สติที่ดี เขาตัดสินใจดี พรรคเหมือนบริษัท ใครมีความต้องการมาสมัครก็ได้ หากได้คนดีมา เป็นลูกพรรคเพื่อให้พรรคเจริญเติบโต ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่เดียว ทุกพรรคก็เหมือนกัน แต่พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคใหม่ต้องการสมาชิกมากกว่าพรรคเก่า

ส่วนที่มีข่าวจะพา ส.ส.พรรคภูมิใจไทยไปเที่ยวเมืองนอกนั้น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยอมรับว่า ดำริไว้อย่างนั้น ถ้าไปก็เป็นช่วงปิดสภาสมัยวิสามัญ กำลังพิจารณาว่าจะไปประเทศใด ไม่แน่ใจว่าจะเป็นยุโรปหรือไม่ ซึ่งการไปครั้งนี้ไม่ได้โชว์ศักยภาพหรือท่อน้ำเลี้ยงให้ ส.ส.พรรคอื่นเห็นและย้ายมาเข้าพรรคภูมิใจไทย เพราะ ส.ส.ออกเงินกันเอง ส่วนพรรคจะดูแลเรื่องอาหารการกินให้

เปรียบ“ครม.”เหมือนลิ้นกับฟัน

เมื่อถามถึงโครงการที่จะให้เกษตรกร เช่าที่ดินไร่ละ 10 บาทของนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย รมว.มหาดไทย กล่าวว่า กำลัง รอให้นายถาวรมาชี้แจง หลักการโครงการนี้ดี แต่เป้าหมายอยากทราบว่าเป็นคนจนจริงหรือไม่ ต้องไม่ใช่นายทุนหรือนักฉวยโอกาส เพราะมันถูกเหลือเกินไร่ละ 10 บาทต่อปี เพราะหากไม่โปร่งใสอาจจะซ้ำรอยกรณี ส.ป.ก.4-01 และตนไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก เพราะเป็นเรื่องเสียหายทั้ง 2 ด้าน คือ ประเทศชาติ และผู้ผลักดัน อย่างไรก็ตามหากโครงการนี้ดีก็พร้อมผลักดัน เมื่อถามว่าการออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้เพราะเป็นการแก้แค้นหลังถูกขวางเรื่องรถเมล์ นายชวรัตน์ กล่าวว่า ความคิดเช่นนี้เลิกคิดไปได้เลย ไม่มีในหัวสมองเลย เพราะไม่ดีต่อประเทศชาติ ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ ทำงานก็เหมือนกับสามีภรรยา เหมือนลิ้นกับฟัน กระทบกันบ้าง

“พท.”เตือน ครม. จะตายยกชุด

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ขอความร่วมมือให้สมาชิกรัฐสภาให้ความเห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 184 ระบุว่ารัฐบาลจะออก พ.ร.ก. ต้องเป็นกรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน แต่กรณีนี้รัฐบาลพยายามจะขอกู้เงิน เพื่อปิดหีบงบประมาณให้ได้ และไม่ถือเป็นเรื่อง เร่งด่วน พรรคเพื่อไทยจึงต้องยื่นเรื่องต่อศาล รัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย พ.ร.ก.ดังกล่าว ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ยื่นเรื่องคัดค้าน หากเกิดความเสียหายขึ้นไม่ทราบว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในขณะ นี้พบว่ามีหลายโครงการของรัฐบาลที่กำลังประสบกับปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปิดประมูลข้าว ข้าวโพด และสินค้าเกษตรหลายพันล้านของ กระทรวงพาณิชย์ โครงการเรียนฟรี โครงการแจกเช็ค 2 พันบาทซึ่งถือเป็นซื้อฐานเสียงให้ตัวเอง หรือโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน ประเด็นนี้ทาง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย และส.ก.บางส่วน เตรียมลงพื้นที่วันที่ 2 มิ.ย. เพื่อตรวจสอบหาข้อมูลและข้อเท็จจริงว่ามีลับลมคมในหรือไม่ ทั้งนี้อยากฝากเตือนว่ารถเมล์เอ็นจีวีอาจระเบิดและทำให้ ครม. ตายทั้งคณะในเร็ว ๆ นี้

เชื่อ “กทม.”เป็นตาอยู่ได้รถเมล์

“อยากให้จับตามองกรณีนี้ว่า อาจจะเข้าสุภาษิตตาอินกับตานา ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคภูมิใจไทยที่กำลังขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายผลประโยชน์ทั้งหมดอาจจะตกไปอยู่กับตาอยู่ อย่าง กทม. ที่จะเข้ามาดูแลโครงการนี้แทน” นายพร้อมพงศ์ ระบุ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการปรับ ครม. ให้นายศุภชัย โพธิ์สุ เข้ามาดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่า ขัดกับคำพูดของนายกฯ ที่กล่าวสมัยที่เป็นฝ่ายค้านว่าการตั้งรัฐมนตรีควรตั้งบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน แต่การปรับ ครม. ครั้งนี้เป็นการสมยอมและหลิ่วตาให้พรรคร่วม เพื่อไม่ให้เกิดรอยร้าว และขอตั้งข้อสังเกตว่านายศุภชัยมีประสบการณ์ทางด้านวิชาชีพครู แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานทางด้านเกษตร ส่วนที่นายกฯ อ้างว่าจีเอ็มและฟอร์ดเตรียมที่จะมาลงทุนในไทยนั้น ข้อเท็จจริงคือบริษัทจีเอ็มกำลังมีปัญหาทางการเงินและต้องขึ้นศาลล้มละลายฟังคำตัดสินในวันที่ 1 มิ.ย. นี้ ไม่ทราบว่านายกฯ ไปนำข้อมูลมาจากไหนว่า จะมีบริษัทที่กำลังจะล้มละลายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ซัด “มาร์ค” เล่นบท 2 มาตรฐาน

อีกเรื่องหนึ่ง นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ไม่ลาออกจากตำแหน่งหลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษายืน ตามมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ให้ใบเหลืองนายธานี เทือกสุบรรณ นายก อบจ. สุราษฎร์ธานี และให้ดำเนินคดีอาญานายสุเทพ ว่า อยากถามถึงมาตรฐานของนายกฯ ที่ไม่ยอมดำเนินการใด ๆ เนื่องจากกลัวว่าหากผู้จัดการรัฐบาลไม่อยู่ในตำแหน่ง ตัวนายกฯ ก็อาจไม่ได้อยู่ในตำแหน่งไปด้วย นอกจากนี้นายสุเทพเป็นรองนายกฯ ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่จะให้ตำรวจที่ถือเป็นลูกน้องมาสอบปากคำเจ้านาย แล้ว ใครจะกล้าสอบ เหมือนกรณีปลากระป๋องเน่าที่ให้ข้าราชการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มาสอบสวนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง

“นายกฯ กำลังปฏิบัติ 2 มาตรฐาน อีกทั้งกำลังพยายามสร้างภาพให้ดูดี แต่ปฏิบัติไม่ชอบ การที่พวกพ้องของตัวเองทำผิด นายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่าต้องต่อสู้ถึง 3 ศาล แต่กรณีที่ฝ่าย ตรงข้ามทำผิดกลับรีบส่งเรื่องให้ถึงศาลโดยเร็ว จึงอยากฝากไปถึงนายกฯ ว่าอย่าทำตัวเหมือนคุณชายสะอาด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปปากอาจจะพาจน เหมือนกับการแกว่งปากหาเรื่อง” โฆษกพรรค เพื่อไทย กล่าว

แก้ รธน. เสร็จค่อยเลือกหน.ใหม่

นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงการประชุมสรรหาและเลือกหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ว่า วันนี้ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยมีมติรอให้คณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสนอเรื่องก่อนว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้ามีความชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคก็จะรอให้ดำเนินการเสร็จสิ้นก่อน จากนั้นถึงจะมีการประชุมสรรหาหัวหน้าพรรคอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในขณะนี้มาจากรัฐธรรมนูญปี 2550 เนื่องจากเนื้อหาส่วนใหญ่มีการสกัดกั้นไม่ให้พรรคการเมืองเติบโต ทำให้คนดีไม่กล้าที่จะเข้ามารับใช้บ้านเมือง

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สกลนคร เขต 3 แทนนายพงษ์ศักดิ์ บุญศล ว่า พรรคมีมติส่งนางอนุรักษ์ บุญศล ภรรยาของนายพงษ์ศักดิ์ลงสมัคร โดย ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะลงพื้นที่ช่วยหาเสียงระหว่างวันที่ 3-8 มิ.ย. นี้ด้วย และพรรคหวังที่ได้ ส.ส. กลับคืนมาเช่นเดิม ถึงแม้พรรคภูมิใจไทยจะส่งคณะใหญ่ลงพื้นที่เพื่อหวังตีฐานที่มั่นในจังหวัดนี้ ส่วนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 1 พรรคมีมติส่งนายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์ ลงสมัครรับเลือกตั้ง

“ปู่สุข”จับตาบุฟเฟ่ต์คาร์บิเนต

ที่รัฐสภา นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงการเดินหน้าผลักดันโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคันของพรรคภูมิใจไทยว่า รัฐบาลกำลังตรวจสอบอย่างละเอียด โครงการนี้คงชะลอไว้ก่อน ซึ่งเป็นอำนาจของนายกฯที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน คิดว่าคงไม่มีปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะโครงการไหนดีก็ได้หน้ากันทั้งหมด แต่ถ้าโครงการไหนเกิดผลกระทบก็เสียทั้ง ครม. และโครงการนี้เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งรัฐบาล ไม่ใช่กระทรวง ใดกระทรวงหนึ่ง สำหรับตนยังไม่ได้ศึกษารายละเอียด แต่ก็มีข้อสงสัยเหมือนหลายคน เช่น ทำไมต้องเช่า ทำไมแพง ทำไมดอกเบี้ยสูง หาก ครม. จะอนุมัติโครงการนี้ต้องทำทุกอย่างให้ชัดเจน

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านเคยเรียกร้องเรื่องนี้แต่ขณะนี้เหมือนกับจะจำยอม ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า คงไม่เป็นเช่นนั้น ถึงจะเป็นพรรคเดียวกันหากมีเรื่องทุจริตก็ต้องคัดค้าน เพราะจะโดนไปด้วยกันและจะถูกฟ้องทั้ง ครม. เมื่อถามต่อว่า จะเหมือน บุฟเฟ่ต์คาร์บิเนต นายประสพสุข กล่าวว่า ต้องติดตาม

ลากตั้งหยันคนบุรีรัมย์ไม่รู้จริง

นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า นายกฯ ต้องคิดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก อย่าคิดแต่เพียงผลประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะถ้าคิดถึงประชาชน แล้วหากยุบสภา หรือลาออก นายอภิสิทธิ์จะได้กลับมาเป็นนายกฯ และอยู่ยาว แต่ถ้าหากเลือกผลประโยชน์ของพรรคร่วม เลือกตั้งครั้งต่อไปอาจจะไม่ได้กลับเข้ามา เพราะจะโดนตราหน้าว่าเป็นรัฐบาลโกง ตนคิดว่าถ้านายกฯ ยังยึดหลักกฎเหล็ก 9 ข้อก็ต้องโอนเรื่องรถเมล์ 4 พันคันไปให้ กทม. ดูแล เพราะเป็นเรื่องของมหานคร จะให้คนบุรีรัมย์มาแก้ปัญหาของ กทม. ได้อย่างไร เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้

“ผมคิดว่าน่าจะโอนมาให้ กทม. จัด การ เพราะ กทม. เป็นผู้ที่ดูแลการจราจรทั้งหมด น่าจะเข้าใจคนกรุงเทพฯ ดีกว่า และ กทม. ก็มีเงินของตัวเองอยู่แล้ว และถ้าเอารถเช่ามาก็ไม่ควรถึง 4 พันคัน แค่ 1 พันคันก็พอ อาจใช้เงินแค่ 1 พันล้าน เพราะเชื่อว่าผู้ว่าฯ กทม. จะไม่ทุจริตแน่นอน เนื่องจากต้องเอาใจประชาชน” ส.ว.สรรหา ระบุพร้อมทั้งยืนยันว่า ไม่ได้อยู่ข้างพรรคประชาธิปัตย์ แต่ ส.ว. 150 คนก็มีแนวคิดเช่นเดียวกัน

“มาร์ค”จี้รับมือ ศก.-หวัดมรณะ

สำหรับภารกิจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และคณะในการเข้าร่วมประชุม สุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-2 มิ.ย. ที่เกาะเจจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอภิสิทธิ์ พร้อมคณะได้เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษของกองทัพอากาศมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเจจูในเวลา 23.55 น. วันที่ 30 พ.ค. โดยมีนายมุน ฮา ยอง เอกอัครราชทูตประจำจังหวัดเจจู ในฐานะผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี ให้การต้อนรับ

ต่อมาวันที่ 31 พ.ค. เวลา 14.00 น. นายอภิสิทธิ์ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดภาคธุรกิจอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีผู้แทนนักธุรกิจในภูมิภาค ประมาณ 400 คนเข้าร่วม นายกฯ กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุมในหัวข้อ “การเปลี่ยนแปลง ความท้าทาย และความร่วมมือ เพื่อความรุ่งเรืองของเอเชียร่วมกัน” ตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ท้าทายเร่งด่วนของเราขณะนี้คือ ทำอย่างไรที่จะสามารถเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินโลก รวมทั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

วอนทุน“กิมจิ”อย่าทิ้งอาเซียน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การเผชิญหน้ากับความถดถอยทางเศรษฐกิจ มีความจำเป็นที่ภาครัฐและเอกชน ต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล และอำนวยความสะดวก รวมทั้งการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดเสรีแรงงานอาเซียนในปี 2558 ทั้งนี้เชื่อ ว่านักธุรกิจเกาหลีสามารถแสวงหาโอกาสทางการค้าและการลงทุนในอาเซียนได้อีกมาก เพราะอาเซียนได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจน้อยกว่าภูมิภาคอื่น ๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายกฯ กล่าวสุนทรพจน์จบได้เดินลงจากเวที พร้อมกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายกรัฐมนตรีพม่า ลาว และกัมพูชา เพื่อจับมือทักทายกับนักธุรกิจประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วย

ทวิภาคี “ไทย-เกาหลีใต้” ชื่นมื่น

จากนั้นนายกฯ ได้หารือทวิภาคีกับนาย ลี มยอง บัก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เป็นเวลา 30 นาที ต่อด้วยการนำผู้แทนภาคเอกชนของไทยพบปะกับผู้แทนเอกชนเกาหลี โดยนายอภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้รับปากจะไปแก้ปัญหาอุปสรรคการส่งผักและผลไม้มา ยังเกาหลีใต้ให้ เพราะมีความรู้สึกที่ดีต่อไทย และคุ้นเคยกับอาหารและผลไม้ไทยอยู่แล้ว พร้อม กันนี้ได้เชิญเกาหลีไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งมวลชน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน และเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีให้มาไทย มีการพูดถึงความเป็นไปได้ในการขยายเที่ยวบินด้วย และท่าทีของเกาหลีที่ออกมาก็เป็นบวก

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ประธานาธิบดีเกาหลีขอบคุณที่ประเทศไทยออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้เสนอให้ใช้การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ในภูมิ ภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เออาร์เอฟ) ในเดือน ก.ค. นี้ เป็นเวทีแก้ไขปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ดีภาคเอกชนเกาหลีไม่ได้ถามถึงปัญหาการเมืองไทย เพราะเวลานี้สถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว และคาดว่าจะสามารถจัดการประชุมสุดยอดอาเซียนในเดือน ต.ค. นี้ได้

“มาร์ค” ชี้มีคนคิดปลุกม็อบอีก

ขณะเดียวกันภายหลังแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประกาศนัดชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงอีกครั้งในวันที่ 27 มิ.ย.ที่ท้องสนามหลวง เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ได้ตอบคำถามของพิธีกรในระหว่างอัดเทปออกรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ถึงกรณีจะมีกระแสข่าวความเคลื่อนไหวของม็อบในเดือน มิ.ย.นั้น ตนไม่ได้พูดว่าจะมีคนมาเผาบ้านเผาเมือง เพียงแต่บอกว่าการเคลื่อนไหว การชุมนุมทางการเมืองยังมีอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นการเคลื่อนไหวการชุมนุมที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญทำได้ตลอดเวลา แต่ต้องไม่ให้มีเหมือนกับช่วงก่อนสงกรานต์อีก คือ การทำผิดกฎหมาย บังเอิญตนทราบว่ายังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคิดจะทำแบบนั้นอยู่

ปชป.จวกเล่นเกมนอกสภา

ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคมีความวิตกต่อสถานการณ์ดังกล่าวที่อาจนำไปสู่ทางตันอีกครั้งหนึ่ง จึงอยากเรียกร้องไปยังกลุ่ม การเมืองและพรรคการเมืองที่ส่งสัญญาณเตรียมเล่นการเมืองนอกสภาอีกครั้ง ทั้งการพูดถึงความพร้อมในการไล่รัฐบาลนอกสภา การที่นายกฯได้แสดงความห่วงใยเพราะไม่อยากเห็นความขัดแย้งในบ้านเมือง ส่วนนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ข้อมูลของนายกฯ เป็นข้อมูลที่ได้รับการรายงานจากสำนักข่าว กรองคิดว่า เป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ถือเป็นเป้าหมายที่กลุ่ม คนเสื้อแดงต้องการจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้ได้ โดย มีการประกาศแผนบันได 3 ขั้นไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงหรือไม่ ผมขอเตือนให้ระวังว่าบันไดจะหักลง และคนเหล่านี้ที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดก็อาจจะตกหัวคะมำลงมาได้

วอนให้ยึดมั่นพระราชดำรัส

ขณะที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เปิดเผยว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง วันที่ 27 มิ.ย. คงไม่ยืดเยื้อจึงไม่น่ามีปัญหา คิดว่าคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เป็นประธาน จะเป็นจุดที่ระบายอะไรได้ ไม่ให้เกิดความรุนแรงอย่างเหตุการณ์ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เพราะถือว่าเป็นความรุนแรงสูงสุดแล้วตอนนี้กำลังลดระดับลงมา ทุก คนต้องยึดมั่นในพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ “รู้รักสามัคคี” ความคิดเห็นแตกต่างกันได้ แต่อย่าไปแตกแยกกัน

แกนนำเสื้อแดงเดินสายอีสาน

ช่วงเย็นวันเดียวกัน ที่บริเวณสวนสาธารณะหนองปลาเฒ่า อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ร.ต.ต. สมภาร อักษรเสรี แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงชัยภูมิ พร้อมสมาชิกได้จัดงานฟรีคอนเสิร์ตพลังประชา ธิปไตย แดงทั้งแผ่นดิน นอกจากนี้ยังมีการจัด ตั้งศูนย์ประสานงานสภาประชาชนเพื่อประชาธิป ไตย จังหวัดชัยภูมิ โดยมีบรรดาแนวร่วมเสื้อแดงทั้งใน จ.ชัยภูมิ และพื้นที่ใกล้เคียงมาร่วมงาน รวมทั้งยังมีแกนนำ นปช. อาทิ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ และแกนนำเสื้อแดงในพื้นที่ภาคอีสานทยอยมาร่วมงานในช่วงหัวค่ำอย่างคึกคัก

โยน“โสภณ”แจงความโปร่งใส

ที่โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์อีกครั้งภายหลังร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 84 ปีให้มารดาของนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กรณีโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคันไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. วันที่ 3 มิ.ย. นี้ว่า ไม่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ สื่อชอบมองเป็นความขัดแย้ง ทั้งที่จริงไม่มีอะไร เป็นแค่ความเห็นที่ไม่ตรงกันก็จูนให้ตรงกันก็เท่านั้น และถ้าในที่สุดแล้วพิสูจน์ได้ว่าโครง การนี้โปร่งใสก็ต้องเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ซึ่งตนเห็นว่าควรให้นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ออกมาชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดต่อสาธารณะ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานเลี้ยงวันเกิดดังกล่าวมีแขกเหรื่อในวงการเมืองมาร่วมงานจำนวนมาก อาทิ นายเนวิน ชิดชอบ นอกจากนี้ยังมีนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกฯ ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ให้ตัวแทนนำกระเช้าผลไม้มาร่วมอวยพรด้วย

“รมต.ป้ายแดง”ยาหอมปลดหนี้

อีกด้านหนึ่ง ที่ จ.นครพนม นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะเดินทางมาพบปะสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจากอำเภอต่าง ๆ ที่หอประชุมสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยนครพนม โดยนายศุภชัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถปฏิบัติภารกิจ ของ รมช.เกษตรฯ ได้ เพราะยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ อย่างไรก็ตามพร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาเรื่องอาชีพ ความเป็นอยู่ของเกษตรกร ทราบว่า ใน จ.นครพนม มีสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ กว่า 8 หมื่นคน แต่ที่ผ่านมาปัญหาเรื่องหนี้สินเกษตรกร กลับไม่ได้รับการแก้ไข มาวันนี้เป็นโอกาสดีที่ตนจะได้รับทราบปัญหา เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการทำงาน ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มทำงานการเมือง ตนเห็นว่าปัญหาของพี่น้องเกษตรกรเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องการแก้ไขมาตลอด.

นายกฯพร้อมใช้เวทีARFช่วยแก้ปัญหาคาบสมุทรเกาหลี

คมชัดลึก :นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอาเซียน เสนอให้ใช้เวที ARF ในการช่วยให้กระบวนการเจรจา 6 ฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาคาบสมุทรเกาหลีกลับมาเดินหน้าใหม่

“ธีรยุทธ บุญแผ่ผล” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ซึ่งติดตามภารกิจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน ณ เกาะเจจู สาธารณรัฐเกาหลี รายงานว่า วันนี้ (31 พ.ค.) เวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคี กับ นายลี มยอง บัก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี

นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ประธานาธิบดีเกาหลีขอบคุณ ที่ประเทศไทยออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี และต้องการให้การเจรจา 6 ฝ่าย กลับมาเริ่มต้นใหม่ โดยไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้เสนอให้ใช้เวทีการประชุมอาเซียน ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

“สิ่งที่เราทำได้ ในฐานะประธานอาเซียน คือ 6 ประเทศที่อยู่ในโต๊ะเจรจาปัญหาคาบสมุทรเกาหลี ต่างเป็นส่วนหนึ่งของการประชุม ARF ที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ เราจึงเสนอว่า พร้อมที่จะมีส่วนช่วยให้กระบวนการเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว กลับมาเดินต่อได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

สุเทพแนะรมต.ปชป.ระวังกลุ่มป่วนไม่รามือ

คมชัดลึก :รมต.ปชป. เตรียมนัดหารือกันถี่ขึ้น หลังร่วมโต๊ะกินข้าวนัดแรกจะช่วยงานประสานกันมากขึ้น ด้าน “สุเทพ” เตือนรมต.ให้ระวังตัวมากขึ้นในการลงพื้นที่ ชี้มีคนไม่หวังดีคอยป่วนอยู่ “สาทิตย์” มั่นใจปัญหารถเมล์ไม่ทำรัฐบาลแตก



นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการรับประทานอาหารร่วมกันของรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ที่โรงแรมคอนราด ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคเป็นคนนัดหมายว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี รัฐมนตรีของพรรคต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงาน ซึ่งนายสุเทพ ได้ย้ำให้แต่ละกระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกันทำงานประสานกันมากขึ้น และทำอะไรไปก็ควรจะต้องชี้แจงกับประชาชนให้ชัดเจน ซึ่งจากการพูดคุยกันในวันนี้ต่างเชื่อว่าจะทำให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า หลังจากนี้ รัฐมนตรีของพรรคควรจะได้มีการพบปะกันบ่อยขึ้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง นอกจากนี้ ในการรับประทานอาหาร นายสุเทพยังได้เล่าถึงสถานการณ์บ้านเมือง ที่ยังคงมีปัญหาด้านความมั่นคงให้รัฐมนตรีของพรรคได้รับทราบว่าขณะนี้ยังคงมีความพยายามก่อความปั่นป่วนในบ้านเมือง จึงขอให้ช่วยกันสอดส่องดูแล และตั้งใจทำงาน

มีรายงานว่า ในการรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ นายสุเทพ ได้ขอให้รัฐมนตรีพรรคระมัดระวังเวลาลงพื้นที่ และอย่าประมาท เพราะมีความพยายามของผู้ไม่หวังดีที่จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ซึ่งจะมีหลากรูปแบบมากขึ้น สถานการณ์ไม่ได้นิ่งอย่างที่คิด อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการเตือนถึงขั้นว่าให้เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ส่วนกรณีปัญหาโครงการรถเมล์ 4,000 คัน ไม่ได้พูดกันเท่าไร เพราะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีพรรค เพียงแต่บอกว่ากำลังพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด.

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการรับประทานอาหารร่วมกันของรัฐมนตรีพรรค บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ซึ่งนายสุเทพ ได้เล่าให้ฟังถึงเบื้องลึกเบื้องหลังถึงปัญหาความมั่นคงที่กังวล และยังคุยกันถึงการทำความเข้าใจกับประชาชนถึงการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละคน ซึ่งตนได้บอกไปว่าควรต้องมียุทธศาสตร์รวมของรัฐบาล และส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยและพร้อมจะให้ความร่วมมือ

นายสาทิตย์ ยังกล่าวถึงปัญหาโครงการรถเมล์ที่ยังเห็นไม่ตรงกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า คงต้องพูดคุยทำความเข้าใจกัน ซึ่งเชื่อว่าจะไม่บานปลายถึงกันรัฐบาลแตก แต่การที่ความเห็นแตกต่างกันถือเป็นเรื่องธรรมดา และยังมั่นใจว่าทำความเข้าใจกันได้

"พท."จี้"สุเทพ"ลาออกเปิดทางตร.ทำงานคดีซื้อเสียงเต็มที่

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวเรียกร้องให้นายสุเทพ เ ลาออกจากตำแหน่ง ว่า พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้นายสุเทพ ที่คุมตำรวจ ทหาร ลาออกเพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวน และดำเนินคดีอาญาอย่างโปร่งใส ไร้ความกดดัน สืบเนื่องจากการที่นายธานี เทือกสุบรรณ นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ถูกศาลสั่งเลือกตั้งใหม่ และกกต.แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายสุเทพ และ 2 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาการันตีความถูกต้องแทน โดยบอกว่าไม่ต้องลาออกนั้นสะท้อนให้เห็นว่ามาตรฐานทาง จริยธรรม และความรับผิดชอบทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์เน่ากว่าปลากระป๋อง

จี้รบ.เร่งดำเนินคดีพธม.หลังคดีส่อแววไม่คืบ

นายพร้อมพงศ์ กล่าวทวงถามถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ตนขอทวงถามรัฐบาลคดีที่กลุ่มพันธมิตรฯได้กระทำนั้นไปถึงไหนแล้ว คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2551 บัดนี้ล่วงเลยมาถึงกลางปี 2552 แล้ว มีการเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนกันไปกี่คนแล้ว ที่น่าตกใจคือการที่พล.ต.อ. ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. ระบุว่าจะไม่มีคดีก่อการร้ายในสนามบินสุวรรณภูมิ อันนี้คือ 2 มาตรฐานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ หากเป็นพวกเดียวกันต้องสู้กัน 3 ศาล แต่หากเป็นพวกอื่นต้องจับติดคุก ซึ่งมาตรฐานนี้นำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกในสังคมไทย

"การที่นายกฯออกมาพูดว่าจะมีการก่อความวุ่นวายเผาบ้าน เผาเมืองนั้น ถือเป็นการแกว่งปากหาเรื่อง ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ นายกฯพูดแบบนี้แล้วนักธุรกิจที่ไหนจะกล้าลงทุน สำหรับนายก ษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่วันนี้ออกมาเยินยอชมนายอภิสิทธิ์ว่าดีเลิศสารพัด ก็เพราะต้องการเกาะนายอภิสิทธิ์เอาไว้เพื่อฟอกความผิด เนื่องจากมีคดีร้ายแรงติดตัวอยู่" โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว

ปมขัดแย้งเช่ารถเมล์ "สุเทพ"ยันไม่แตกหักพรรคร่วม

คมชัดลึก : "สุเทพ" ยันไม่คิดแตกหักพรรคร่วม ชี้ขัดแย้งเช่ารถเมล์ 4 พันคันเรื่องธรรมดา ลั่นไม่มีเกี้ยเซียะการเมือง เรียกรัฐมนตรี ปชป.เคลียร์ใจ-เตือนลงพื้นที่ให้ระวังตัว ชี้คนไม่หวังดีจ้องป่วน ด้าน "ชวรัตน์" ปัดใช้โครงการเช่าที่ดินเป็นเครื่องมือแก้แค้น ปชป. "เพื่อไทย" โวยพรรคร่วมงาบบุฟเฟ่ต์คาบิเนต ซัดปมขัดแย้งแค่ละครตบตา



แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลออกมายืนยันว่า ไม่มีความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล จากปัญหาโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คันของพรรคภูมิใจไทย กับโครงการให้เกษตรกรเช่าที่ดินทำกินในราคาถูก ที่เป็นนโยบายของรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ฝ่ายค้านมองว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ละครตบตา

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ว่า ขอยืนยันว่าจุดยืนของรัฐบาลนี้ ถ้าประชาชนและสื่อมวลชนเห็นว่ามีการทุจริตคอรัปชั่น หรือทำผิดกฎหมาย ก็ขอให้ส่งมาที่นายกรัฐมนตรีโดยตรง รับรองว่านายกฯ จะดำเนินการและจะจัดการทันที โดยไม่คำนึงว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคร่วมรัฐบาล เพราะเราจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เนื่องจากรู้ดีว่าประชาชนคาดหวังจากนายกฯ มาก แต่ถ้าไปจินตนาการเอาเองว่าจะเกิดเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้แล้วมาชวนให้เราทะเลาะกัน ก็คงไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเกิดเหตุเพียงนิดเดียว เราจะจัดการ

ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน จนถึงตอนนี้ยังไม่ถือว่ามีปัญหาใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่อยากพูดตรงนี้ แต่อยากบอกว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการนำเงินของรัฐบาล หรือเงินภาษีของประชาชนไปใช้แม้แต่บาทเดียว ทั้งนี้ ได้ไปเจรจากับพรรคภูมิใจไทยว่าต้องให้รถเมล์จำนวนนี้ผลิตในประเทศเกินครึ่ง ในที่สุดเขาก็แก้ไขว่าผลิตในประเทศไทยร้อยละ 70 ส่วนเรื่องราคาก็พูดกันใน ครม. ซึ่งจะอนุมัติหรือไม่ เป็นเรื่องของ ครม.

ต่อข้อถามว่า ให้ความมั่นใจได้หรือไม่ว่าโครงการนี้จะไม่มีการ "เกี้ยเซียะ" กันทางการเมือง เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล นายสุเทพกล่าวว่า ให้เอาบ้านเมืองเป็นหลักดีกว่า รัฐบาลจะอยู่หรือไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ขอให้บ้านเมืองอยู่ได้ก็แล้วกัน

ส่วนโครงการนี้จะกลายเป็น "จุดแตกหัก" ในการทำงานร่วมกันหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า พยายามจะแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ ถ้าแก้ได้ก็แก้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็จนปัญญา และจะไม่พูดเรื่องแตกหักกับใคร เพราะเป็นผู้ประสานงาน แต่สิ่งที่จะทำคือ ทำให้รัฐบาลยืนหยัดอยู่ได้และแก้ปัญหาบ้านเมือง

สาทิตย์เชื่อปมรถเมล์ไม่ทำรัฐบาลแตก

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาโครงการรถเมล์ที่ยังเห็นไม่ตรงกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า คงต้องพูดคุยทำความเข้าใจกัน ซึ่งเชื่อว่าจะไม่บานปลายถึงกับรัฐบาลแตก แต่การที่ความเห็นแตกต่างกันถือเป็นเรื่องธรรมดา และยังมั่นใจว่าทำความเข้าใจกันได้

ปธ.วุฒิฯเตือนรัฐระวังพังทั้งคณะ

นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ว่า รัฐบาลคงกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด โครงการนี้คงชะลอไว้ก่อน เพราะเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของ ครม. เมื่อนายกฯ ยังตรวจสอบไม่ได้ข้อมูลชัดเจน ก็เป็นอำนาจของนายกฯ ที่สามารถพิจารณาได้ว่าจะให้เอาเข้าที่ประชุม ครม.หรือไม่ อย่างไรก็ดี คิดว่าไม่มีปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพราะรัฐบาลต้องรับผิดชอบร่วมกัน หากโครงการไหนดีก็ได้หน้ากันทั้งหมด ถ้าโครงการไหนหลักการไม่ดี และเกิดผลเสียหาย ครม.ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน

"จะบอกว่าเป็นความรับผิดชอบเฉพาะของกระทรวงนั้นไม่ได้ เป็นไปตามหลักความรับผิดชอบร่วม ถ้าดีก็ได้ทั้งคณะ แต่ถ้ากระทรวงไหนทำไม่ดี รัฐบาลก็พังไปทั้งรัฐบาล" ประธานวุฒิสภากล่าว

ส.ว.ขู่ถอดนายกฯ หากไฟเขียวเช่ารถเมล์

นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวว่า กลุ่ม ส.ว.ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการเช่าซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ที่ค่าซ่อมแพงเกินจริง และสัญญาผูกพันนานเกินไป ซึ่งจะเคลื่อนไหวตรวจสอบต่อไป เพราะไม่ต้องการให้เป็นเหมือนการทิ้งทวนหาผลประโยชน์ร่วมกันของรัฐบาล ก่อนจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ และอาจจะมีการยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี หากยังมุ่งมั่นจะดำเนินการโครงการนี้

ภูมิใจไทยปัดแก้แค้น ปชป.

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่า การประชุม ครม.ในวันอังคารที่จะถึงนี้ จะยังไม่มีการพิจารณาโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน มูลค่า 6.7 หมื่นล้านบาท ที่ รมว.คมนาคม ซึ่งสังกัดพรรคภูมิใจไทยพยายามเสนอเข้า ครม. ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด เพิ่งเห็นข่าวจากสื่อเท่านั้น อย่างไรก็ดี โครงการดังกล่าวคงจะไม่ถอน แต่อาจจะเลื่อนไปบ้าง เพราะแต่ละวันก็ไม่ได้ทำงานนี้งานเดียว นายกฯ มีงานร้อยแปด อาจจะยังไม่ศึกษารายละเอียด แต่เมื่อนายกฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ก็จะต้องตอบปัญหาประชาชนให้กระจ่างชัดว่า ทุกอย่างโปร่งใส พิสูจน์ได้

เมื่อถามถึงโครงการเช่าที่ดินไร่ละ 10 บาท ที่นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย จากพรรคประชาธิปัตย์เสนอโดนเบรก ซึ่งมีการระบุว่าเป็นการเอาคืนจากพรรคภูมิใจไทย นายชวรัตน์กล่าวว่า โครงการดังกล่าวกำลังรอให้นายถาวรมาชี้แจง ตนเห็นว่าโครงการนี้มีหลักการที่ดี แต่สำหรับเป้าหมายอยากทราบว่าเป็นคนจนจริงหรือไม่ ไม่ใช่นายทุนหรือนักฉวยโอกาสจะได้ไป เพราะที่ดินถูกมาก เพียงแค่ไร่ละ 10 บาทต่อปี หากไม่โปร่งใสอาจจะซ้ำรอยกรณี ส.ป.ก.4-01 ตนไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะเป็นเรื่องเสียหายทั้ง 2 ด้าน แต่หากโครงการนี้ดี ก็พร้อมจะผลักดัน

เมื่อถามย้ำว่า มีการมองว่าการเบรกโครงการเป็นการแก้แค้น หลังพรรคภูมิใจไทยถูกขวางเรื่องรถเมล์ 4,000 คัน นายชวรัตน์กล่าวว่า “ความคิดเช่นนี้เลิกคิดไปได้ ไม่มีในหัวสมองเลย เพราะไม่ดีต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ ทำงานก็เหมือนกับสามีภรรยา เหมือนลิ้นกับฟัน กระทบกันบ้าง”

พท.ชี้ละครตบตา-ซัดบุฟเฟ่ต์คาบิเนต

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณี พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านบาท ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้พูดเชิงขอความร่วมมือจากฝ่ายค้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหมือนจะบอกว่าฝ่ายค้านกำลังเตะถ่วง ขอยืนยันว่า เราทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบ เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลมีความจำเป็นต้องนำเงินมาปิดหีบงบประมาณเพียง 1.1 แสนล้านบาทเท่านั้น ส่วนอีก 2.8 ล้านบาท รัฐบาลจงใจปกปิดซ่อนเร้น ไม่มีความชัดเจนว่าใช้ทำอะไร ขอถามว่า หากเกิดความเสียหายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ วันนี้ประชาชนตั้งข้อกังขาถึงความโปร่งใสของรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลกำลังมีโครงการ "บุฟเฟ่ต์คาบิเนต" หรือไม่ ภาพความขัดแย้งภายในรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องรถเมล์ 4,000 คัน ได้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพียง "ละครตบตาฉากหนึ่ง" หลังได้ข่าวว่ามีการประสานผลประโยชน์กันลงตัวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล โดยใช้ระบบกินแบ่ง สุดท้ายเรื่องจะถูกโยนไปที่ กทม. ที่เป็นเครือข่ายพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนายอภิสิทธิ์คงไม่กล้าฝืนกระแสสังคมอนุมัติให้โครงการผ่าน ครม. ขณะเดียวกันเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่กล้าหักดิบพรรคภูมิใจไทย ถ้าเป็นอย่างนั้นอาจจะกลายเป็นรถเมล์แก๊สมรณะ ระเบิดทั้ง ครม.ตายหมู่ทั้งคณะ และพรรคภูมิใจไทยอาจถอนยวง นำไปสู่การยุบสภา

ปชป.จี้รัฐ-ภท.แจงสังคมไม่มีล็อกสเปก

นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง ในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน ว่า อยากฝากข้อเสนอไปยังรัฐบาลและพรรคภูมิใจไทยที่เป็นเจ้าของโครงการ ที่จะต้องทำความเข้าใจและชี้แจงต่อสังคมให้ชัดเจนว่า โครงการดังกล่าวมีความสำคัญต่อประชาชนอย่างไร และเชื่อว่าโครงการดังกล่าวนั้นเป็นประโยชน์ เพราะเป็นบริการสาธารณะที่เป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนที่มีรายได้น้อย

"อยากให้สังคมและสื่อมวลชนกลับมาดูที่ประเด็นขอให้ติดตามข้อมูล 2 เรื่อง คื่อ 1.โครงการดังกล่าวเป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่ และ 2.ต้องติดตามข้อมูลว่ามีหลักฐานหรือเนื้อหาที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของฝ่ายใดหรือไม่ และที่สำคัญคือเจ้าของโครงการต้องสามารถตอบให้ได้ว่าไม่มีการล็อกสเปก เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามาประกวดราคา" นายสาธิตระบุ

“เทพไท”แขวะทรท.จัดเช็งเม้งการเมือง

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการนัดชุมนุมครบรอบการยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ว่า มีผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองมาร่วมงานหลายคน และพูดถึงประเด็นทางการเมือง คิดว่าเป็นปกติในการชุมนุม เรียกได้ว่าเป็นงาน "เช็งเม้งทางการเมือง" เพราะผู้ถูกตัดสิทธิเหล่านี้มาร่วมรำลึกถึงวีรกรรมของตัวเองที่ทำผิดกฎหมาย และพยายามใส่ร้ายรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้สังคมเห็นว่านี่คืออุปสรรคและเงื่อนไขที่ขัดขวางให้คนเหล่านี้เข้าสู่การเมืองได้อีกครั้งหนึ่ง

ไม่เชื่อนายกฯ ปากพาจน-ย้ำไม่ถ่อย

นายเทพไทกล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า อาจจะมีความรุนแรงและมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดที่จะก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในช่วงนี้ ว่า ข้อมูลของนายกฯ เป็นข้อมูลที่ได้รับรายงานจากสำนักข่าวกรอง คิดว่าเป็นแหล่งข่าวเชื่อถือได้ แต่สมาชิกพรรคเพื่อไทยระบุว่าสิ่งที่นายกฯ แสดงความห่วงใยเป็นการพูดที่ปากพาจนนั้น นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยด้วยถ้อยคำสุภาพ พูดจาด้วยความห่วงใยบ้านเมืองจริงๆ เป็นสุภาพบุรุษ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสังคมจะเห็นว่านายกฯ ไม่เคยพูดด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ไม่เคยแสดงความถ่อย เหมือนนักการเมืองบางคน ดังนั้น การยัดเยียดว่าปากพาจนให้นายกฯ จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง หรือเพราะตัวเองเป็นคนปากพารวยคือ พูดครั้งหนึ่งก็ได้เงินทีหนึ่ง ไม่อยากให้เอาความสุขของตัวเองใช้ปากทำมาหากินบนความบอบช้ำของประเทศแล้วไปยัดเยียดความเสียหายให้คนอื่น

นายกฯย้ำปราบยาเสพติด-ไฟใต้-ทุจริต

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์" กล่าวถึงการบริหารประเทศของรัฐบาล โดยยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้พยายามฟังเสียงสะท้อนต่างๆ ที่มาจากประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งนโยบายของรัฐบาลที่จำเป็นที่จะต้องมีการเร่งรัดปรับปรุง อาทิ ปัญหาเรื่องยาเสพติด ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นในวงราชการ และอยากจะเรียกร้องไปยังประชาชนทุกคนว่า หากใครมีข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตสามารถมาร้องเรียนหรือแจ้งข้อมูลเข้ามาได้ที่ตน หรือร้องเรียนมายังรัฐบาล หากจะไว้ใจใครก็ให้ร้องเรียนเข้ามา ขอยืนยันว่าจะดูแลเรื่องต่างๆ เหล่านี้อย่างจริงจัง จะให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ให้เกิดความโปร่งใส

"โครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่มีจะต้องใช้เงินงบประมาณในการลงทุนจำนวนมาก กว่า 7-8 แสนล้านบาท จะต้องเปิดเผยให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ เพราะผมต้องการให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ไม่มีการรั่วไหลออกไป " นายกฯ กล่าว

มั่นใจพ.ร.ก.กู้เงินช่วยฟื้นศก.ใน 3 ปี

นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในคำร้องการให้อำนาจกระทรวงการคลังออกพระราชการกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาทของรัฐบาล ว่า รัฐบาลกำลังรอคำวินิจฉัยที่จะออกมาในสัปดาห์หน้านี้ เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาว่ารัฐบาลออก พ.ร.ก.ดังกล่าวชอบแล้ว ก็จะดำเนินการนำ พ.ร.ก.นำเข้าสู่ความเห็นของจาก ส.ส.และ ส.ว. คาดว่าจะมีการขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งแต่วันที่ 15-23 มิถุนายน เพื่อนำ พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.การให้อำนาจแก่กระทรวงการคลังกู้เงิน และร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2553 เข้าสู่การพิจารณาของสภา

นายกฯ กล่าวอีกว่า เชื่อมั่นว่าสิ่งต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่นี้มีความคุ้มค่าในการลงทุน เพราะการลงทุนอย่างนี้จำเป็นจะต้องดำเนินการในช่วงที่ประเทศมีเศรษฐกิจที่ไม่ดี และการจัดเก็บรายได้ต่ำ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถจัดหาเงินได้จากงบประมาณตามปกติได้ และวิธีการที่รัฐบาลดำเนินการอย่างนี้ คือ การออกพันธบัตร โดยไม่ได้ไปกู้เงินจากต่างชาติ ตรงนี้มีความมั่นใจ หากเราสามารถเดินแนวทางวิธีอย่างนี้ ประกอบกับที่มีการเลือกโครงการที่มีความพร้อมในการดำเนินการเร็ว จะสามารถสร้างงานได้ไม่น้อยกว่า 1.5-2 ล้านคน และฟื้นเศรษฐกิจได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า หากทำตามวิธีการนี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้น
ยอมรับมีรอยร้าวในรัฐบาล

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงรอยร้าวในรัฐบาลว่า ต้องบอกว่าความคิดเห็นที่แตกต่างมีแน่นอน ของอย่างนี้จะไปบอกไม่มีอะไรเลย ก็หลอกกันเปล่าๆ แต่ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก็เป็นเรื่องของมาตรการการทำงาน และคิดว่า สิ่งที่จะต้องพูดคุยกันก็ว่ากันด้วยเหตุด้วยผล และสำคัญที่สุดก็คือ ต้องยึดประโยชน์ของประชาชนที่เป็นตัวได้ข้อยุติ

“ผมยังเชื่อมั่นว่า เราล้วนแล้วแต่เป็นนักการเมือง จะพรรคเดียวกันหรือคนละพรรคก็ตาม สุดท้ายถ้าหากว่าเรายึดประโยชน์ประชาชน ทุกคนก็พอใจ แต่ถ้าเราไม่ยึดประโยชน์ประชาชน ถึงเราตกลงกันเองได้ วันข้างหน้าก็ไปไม่ได้” นายกฯ กล่าว
สั่งจับตาไม่ให้ซ้ำรอยสงกรานต์เลือด

นายกรัฐมนตรีตอบคำถามของนายไชยา ยิ้มวิไล ที่ทำหน้าที่พิธีกรรับเชิญในรายการ ถึงกรณีที่เคยพูดกับนักธุรกิจที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ว่าเดือนมิถุนายนจะมีเรื่องเผาบ้านเผาเมืองว่า “ผมคงไม่ได้พูดว่าจะมีคนมาเผาบ้านเผาเมือง ผมเพียงแต่บอกว่า การเคลื่อนไหว การชุมนุมทางการเมืองยังมีอย่างต่อเนื่อง และถ้าเป็นการเคลื่อนไหวการชุมนุมที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อาจารย์ (นายไชยา) จะทราบดี จุดยืนผมชัดเจน ถ้าเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญทำได้ตลอดเวลา และผมก็เคารพสิทธิเสรีภาพ ความคิดเห็นที่แตกต่างของทุกๆ คน แต่ว่าต้องไม่ให้มีเหมือนกับช่วงก่อนสงกรานต์อีก ก็คือการทำผิดกฎหมาย”

นายกฯ กล่าวอีกว่า บังเอิญทราบว่า ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคิดจะทำแบบนั้นอยู่ ก็บอกว่ากลุ่มนั้น คือกลุ่มที่ทำลายโอกาสของบ้านเมือง แต่ว่าถ้ากลุ่มที่เขามาแสดงโดยปกติภายใต้รัฐธรรมนูญ บอกเลยว่า นอกจากจะเป็นสิทธิ์แล้ว ตนไม่กังวลเลยในแง่ของภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะเวลามีการชุมนุมโดยสงบ ก็ผ่านมาด้วยเรียบร้อย

"แต่ขอความร่วมมือว่า ทุกอย่างขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ใครอยู่ในวงการไหนก็แล้วแต่ 1.อย่าไปสนับสนุนใครด้วยการทำผิดกฎหมาย 2.ช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ทั้งหมดเราเพียงแต่ต้องการให้โอกาสแก่คนไทย" นายกฯ กล่าว

สุเทพเรียกรมต.ปชป.ขันนอต

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้นัดรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรับประทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารจีน “หลิว” โรงแรมคอนราด ถนนวิทยุ โดยมีบรรดารัฐมนตรีของพรรคมาร่วมงาน 15 คน อาทิ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เป็นต้น รวมถึงรัฐมนตรีที่ถูกระบุในผลสำรวจมาว่าเป็นรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จักมาร่วมรับประทานอาหารด้วย เช่น นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม นายวีระชัย วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น

นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า การนัดรัฐมนตรีของพรรคมารับประทานอาหารวันนี้ เนื่องจากตั้งแต่เป็นรัฐบาลมา 5 เดือน ยังไม่มีโอกาสรับประทานอาหารร่วมกับรัฐมนตรีของพรรคเลย เพราะช่วงแรกมีภารกิจมาก การพบปะครั้งนี้จะถือโอกาสพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องต่างๆ กับบรรดารัฐมนตรี ขณะเดียวกันจะรับฟังปัญหาและความหนักใจของรัฐมนตรีทั้งหลายว่า ที่ทำงานมา 4-5 เดือนมีอะไรบ้าง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงการทำงานให้เข้มข้นยิ่งขึ้น รวมถึงให้ทันกับเวลาและสถานการณ์ ทั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี

ส่วนกรณีที่รัฐมนตรีบางคนติดอันดับในโพลล์ที่ระบุว่าเป็นรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่รู้จักนั้น ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะบอกรัฐมนตรีว่า ให้ทำงานเข้มข้นมากขึ้น

แฉมีคนพยายามทำบ้านเมืองแตกแยก

นายสุเทพกล่าวอีกว่า ตอนนี้มีคนพยายามทำให้บ้านเมืองแตกแยกรุนแรงมากในทุกวงการ ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนกังวลใจ เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็อยากจะทำให้บ้านเมืองมั่นคงจริงๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นความกังวลเดียวกันกับที่นายกฯ แสดงความเป็นห่วงว่าจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ในเดือนมิถุนายนหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวที่จะทำให้บ้านเมืองขาดความมั่นคง ไม่จำกัดเดือนแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้ทำกันตลอดทุกวัน โดยพยายามทำให้คนทุกวงการแตกแยก ซึ่งเรื่องนี้เห็นมาด้วยตัวเอง โดยมีกลุ่มคนบางกลุ่มไม่คำนึงถึงความเสียหายของชาติและประชาชนส่วนรวม แต่มุ่งเป้าหมายไปที่การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง

ให้รมต.ปชป.ลงพื้นที่มากขึ้น

นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการรับประทานอาหารร่วมกันของรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ที่โรงแรมคอนราด ซึ่งมีนายสุเทพ ในฐานะเลขาธิการพรรคเป็นคนนัดหมายว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี รัฐมนตรีของพรรคต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำงาน ทั้งนี้ นายสุเทพได้ย้ำให้แต่ละกระทรวงที่เกี่ยวเนื่องกัน ขอให้ทำงานประสานกันมากขึ้น และทำอะไรไปก็ควรจะต้องชี้แจงประชาชนให้ชัดเจน จากการพูดคุยกันในวันนี้ ต่างเชื่อว่า จะทำให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น จึงเห็นว่า รัฐมนตรีของพรรคควรจะมีการพบปะกันบ่อยขึ้น อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนกัน

นอกจากนี้นายสุเทพยังเล่าถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่ยังคงมีปัญหาด้านความมั่นคงให้รัฐมนตรีของพรรคได้รับทราบว่า ขณะนี้ยังคงมีความพยายามก่อความปั่นป่วนในบ้านเมือง จึงขอให้ช่วยกันสอดส่องดูแล และตั้งใจทำงาน

มีรายงานว่า ในการรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ นายสุเทพขอให้รัฐมนตรีของพรรคระมัดระวังเวลาลงพื้นที่ และอย่าประมาท เพราะมีความพยายามของผู้ไม่หวังดีที่จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ซึ่งจะมีหลากรูปแบบมากขึ้น

ปชป.ขึ้นบัญชีดำ"เฉลิมชัย"

แหล่งข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า จากกรณีที่กลุ่ม “เพื่อนเฉลิมชัย” ของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ ออกมาทวงตำแหน่งรัฐมนตรีให้หัวหน้ากลุ่มนั้น ทำให้แกนนำและผู้บริหารพรรคไม่พอใจถึงการออกมาเรียกร้องตำแหน่ง เพราะเชื่อว่ามีการดำเนินการวางแผนอย่างเป็นระบบ ซึ่งการเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีในลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องผิดวัฒนธรรมของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างมาก

"ดังนั้น แกนนำหลายคนของพรรคที่ได้หารือกันในกรณีนี้ เห็นว่า หากมีการปรับ ครม.เมื่อใดก็ไม่ควรจะเสนอชื่อนายเฉลิมชัยเป็นรัฐมนตรีอย่างเด็ดขาด เนื่องจากหาก ส.ส.ตั้งกลุ่มออกมาเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วได้ไปสมใจ ก็จะเป็นตัวอย่างให้มีการตั้งกลุ่มเพื่อออกมาเรียกร้องตำแหน่งในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ดังนั้นนายเฉลิมชัยจึงมีชื่ออยู่ในแบล็กลิสต์ของพรรคแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว

รายงานข่าวกล่าวว่า แกนนำของพรรคมีการตรวจสอบจำนวน ส.ส.ในกลุ่ม “เพื่อนเฉลิมชัย” ปรากฏว่า ส.ส.ที่เหนียวแน่นพร้อมที่จะไปไหนไปกันมีอยู่ทั้งหมด 12 คน ประกอบด้วย 1.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน 2.นายมนตรี ปาน้อยนนท์ 3.นายประมวล พงษ์ถาวราเดช ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ 4.นายอภิชาติ สุภาแพ่ง 5.นายกัมพล สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี 6.นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ ส.ส.สระบุรี 7.นายประมวล เอมเปีย และ 8.นายมานิตย์ ภาวสุทธิ์ ส.ส.ชลบุรี 9.นายธารา ปิตุเตชะ และ 10.นายวิชัย ลิ้มสุทธิ ส.ส.ระยอง 11.นายสากล ม่วงศิริ ส.ส.กทม.และ 12.น.ต.สุธรรม ระหงษ์ ส.ส.สมุทรสาคร

แหล่งข่าวเปิดเผยต่อว่า ส่วนอีก 5 คนที่อยู่ในกลุ่มเป็น ส.ส.ในพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด มีดังนี้ นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ ส.ส.ชุมพร, นายสินิตย์ เลิศไกร ส.ส.สุราษฎร์ธานี, นายประพร เอกอุรุ ส.ส.สงขลา, นายนาราชา สุวิทย์ ส.ส.สงขลา และนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง หากนายเฉลิมชัยย้ายพรรค ส.ส.เหล่านี้จะไม่ย้ายตามไปด้วย เพราะภาคใต้เป็นพื้นที่อิทธิพลของพรรคประชาธิปัตย์ หากไปสังกัดพรรคอื่นโอกาสสอบตกมีความเป็นไปได้สูง

เสื้อแดงจี้ประกาศ 24 มิ.ย.เป็นวันชาติ

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รุ่น 2 กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่า ในเดือนมิถุนายนจะมีกลุ่มที่เคลื่อนไหวทำลายบ้านเมืองว่า นายอภิสิทธิ์ตื่นเต้นเกินไป พยายามใส่ร้ายกลุ่มเสื้อแดงมาตลอด เหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ก็ยังคลุมเครือว่าต้นเหตุเกิดจากอะไร แม้จะยอมรับว่าคนเสื้อแดงบางกลุ่มลงมือปฏิบัติการเพราะโกรธแค้น แต่เชื่อว่ามีการจัดฉากเพื่อเพิ่มเติมสถานการณ์ให้รุนแรงกว่าความเป็นจริง ซึ่งต้องพิสูจน์ต่อไป

นายสมยศ กล่าวด้วยว่า การเคลื่อนไหวของ นปช.จะแบ่งเป็นสองส่วน ช่วงแรกคือวันที่ 21-24 มิถุนายน ที่ท้องสนามหลวง มีเป้าหมายเรียกร้องให้รัฐบาลรื้อฟื้นให้วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ ซึ่งหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ มีงานฉลองทุกปี แต่ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัช ได้ยกเลิก ดังนั้นนปช.จึงเห็นว่า วันที่ 24 มิถุนายน คือสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย รัฐบาลควรประกาศให้เป็นวันชาติ

เย้ยมาตรฐานปชป.เน่ากว่าปลากระป๋อง

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่คุมตำรวจ ทหาร ลาออก เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนและดำเนินคดีอาญาอย่างโปร่งใส ไร้ความกดดัน สืบเนื่องจากการที่นายธานี เทือกสุบรรณ นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ถูกศาลสั่งเลือกตั้งใหม่ และ กกต.แจ้งความดำเนินคดีอาญากับนายสุเทพ และ 2 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แต่นายอภิสิทธิ์ออกมาการันตีความถูกต้องแทน โดยบอกว่าไม่ต้องลาออกนั้น สะท้อนให้เห็นว่ามาตรฐาน จริยธรรม และความรับผิดชอบทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เน่ากว่าปลากระป๋อง

ชาวนายกพลเข้ากรุงค้านประกันราคา

คมชัดลึก :ชาวนาภาคกลางกว่า 1 พันคน เดินทางเข้ากรุงเทพฯไปก.พาณิชย์ ประท้วงรัฐบาลที่จะใช้วิธีประกันราคาพืชผลแทนระบบรับจำนำ ชี้สร้างภาระให้เกษตรกร



นายวิเชียร พวงลำเจียก อุปนายกสมาคมชาวนาไทย เปิดเผยว่า ในวันนี้ (1 มิ.ย.) ชาวนาจากภาคกลางกว่า 1,000 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อรัฐบาลผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่กระทรวงพาณิชย์ หลังจากที่รัฐบาลแสดงความชัดเจนจะไม่มีโครงการรับจำนำพืชผลทางการเกษตร และจะหันไปใช้วิธีประกันราคาพืชผลทางการเกษตรแทน


นายวิเชียร กล่าวว่า หากรัฐบาลยังยืนยันเช่นเดิม จะมีกลุ่มชาวนาและเกษตรกรทุกกลุ่มจากทั่วประเทศ เดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อประท้วงรัฐบาลแน่นอน ทั้งนี้ สมาคมชาวนาไทยและกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ที่จะเปลี่ยนจากโครงการรับจำนำ เป็นการประกันราคาพืชผลทางการเกษตรแทน เนื่องจากวิธีการรับจำนำแบบเดิมรัฐบาลจะเป็นผู้จัดหายุ้งฉางเก็บผลผลิต ทางการเกษตรและรัฐดำเนินการให้เกษตรกรทุกอย่าง เกษตรกรมีหน้าที่นำผลผลิตไปเข้าโครงการรับจำนำเท่านั้น แต่หากเป็นการประกันราคาผลผลิตทางการเกษตรจะสร้างภาระให้เกษตรกร อีกทั้งเชื่อว่าจะไม่สามารถแทรกแซงราคาหรือพยุงราคาตลอดจนดึงราคาให้สินค้าเกษตรสูงขึ้นได้ จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนอีกครั้ง หากการรับจำนำสินค้าเกษตรเกิดปัญหาตรงจุดไหนก็ควรไปแก้ตรงจุดนั้น


นอกจากนี้อุปนายกสมาคมชาวนาไทย ยังกล่าวถึงข้อร้องเรียนอีกข้อ คือ การขอเพิ่มโควตารับจำนำข้าวในแต่ละจังหวัด เนื่องจากขณะนี้โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในหลายพื้นที่ประสบปัญหา ผลผลิตข้าวในแต่ละจังหวัดเกินโควตาที่รัฐบาลจัดสรรให้ เช่น ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับจัดสรรโควตารับจำนำเพียง 54,374 ตัน แต่จนถึงขณะนี้มียอดรับจำนำเกินไปถึงกว่า 1,000 ตัน ทำให้เกษตรกรหลายรายต้องขายข้าวเปลือกแก่พ่อค้าในราคาต่ำเพียง 7,000-8,000 บาท

Monday, May 25, 2009

“สมศักดิ์” ชี้แผนแบ่งภาคตั้งพรรค-เคลื่อนไหวนอกสภา รับคำท้าพรรคต่ำสิบ

ปธ.สภาพันธมิตรฯ ชี้หากตั้งพรรคการเมืองสำเร็จ การเมืองภาคประชาชนนอกสภายังเคลื่อนไหวเพื่อตรวจจสอบพรรคการเมืองต่อไป โดยเฉพาะพรรคพันธมิตรฯ ยินดีถูกดูหมิ่นพรรคต่ำสิบ ลั่นคำสบประมาทจะนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่

วันนี้ (25 พ.ค.) นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในฐานะประธานสภาพันธมิตรฯ กล่าวว่า การจัดงานรำลึกถึง 193 วัน ในวันนี้ (25 พ.ค.) ได้เป็นวิทยากรรับเชิญในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ เนื่องในวันครบรอบ 1 ปี แห่งการต่อสู้ จนทำให้รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ต้องลาออกจากตำแหน่ง จากการประชุมสภาพันธมิตรฯ ที่อาคารนันทนาการ ม.รังสิต ท่ามกลางตัวแทนพันธมิตรฯ ทั่วประเทศกว่า 4,000 คน เพื่อขอฉันทามติใน 2 เรื่องใหญ่ คือ เห็นด้วยหรือไม่กับกรณีที่รัฐบาลจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 190, 237, 309 ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่เป็นการแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน และไม่จำเป็นต้องเร่งแก้ไขขณะนี้

ส่วนประเด็นการตั้งพรรคการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วย และจะได้นำประเด็นความคิดเห็นเมื่อวานนี้มาขอฉันทามติในวันนี้ ซึ่งมีข้อเสนอที่น่าสนใจว่าหากมีการตั้งพรรคการเมืองสำเร็จจะต้องมีโหวต สรรหาหัวหน้าพรรคด้วย ขณะที่การเคลื่อนไหวการเมืองภาคประชาชนนอกสภาจะต้องดำเนินการต่อไป โดยพรรคพันธมิตรฯ ก็ไม่เข้าข่ายยกเว้น และจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มวงดเช่นกัน

นายสมศักดิ์กล่าวว่า คาดว่าจะมีพันธมิตรฯเรือนแสนเข้าร่วมชุมนุมโดยประตู ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต จะเปิดในเวลา 12.00 น.จากนั้นจะมีริ้วขบวนพันธมิตรฯ จากทั่วทุกสารทิศเดินเข้าสู่สนามกีฬา และจะมีการถ่ายทอดสดผ่านเอเอสทีวีตั้งแต่เวลาประมาณ 13.30 น.

ประธานสภาพันธมิตรฯ พร้อมด้วยแกนนำอีก 4 คน จะขึ้นเวทีในเวลา 20.35 น.เพื่อขอฉันทามติการตั้งพรรคการเมืองในค่ำคืนนี้ ในช่วงท้ายนายสมศักดิ์แสดงความไม่วิตกต่อข้อถามของผู้สื่อข่าวว่าหากมีการ พรรคพันธมิตรฯ แล้วคาดว่าจะได้กี่เสียง พร้อมระบุว่าเป็นคำถามสำหรับนักการเมืองระบบเก่า แต่ก็ยินดีที่ถูกประเมินค่าต่ำ เพราะการถูกปรามาสหรือดูถูกดูแคลนจะนำมาซึ่งความสำเร็จในอนาคต

พธม.ทั่วปท.แสดงพลัง

หยั่งเสียงขอตั้งพรรค กกต.จ้องสอบประวัติหาก'สนธิ'ขึ้นหัวหน้า

พันธมิตรฯ ทั่วประเทศ ตบเท้าแสดงพลังพรึ่บ เต็มสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตร่วมงานครบรอบ 1 ปี ชุมนุม 193 วัน แกนนำอ้างแค่หยั่งเสียงแนวร่วมเสื้อเหลือง 2 เรื่อง แก้ไขรธน.และตั้งพรรคใหม่ ระบุหากมีมติให้ตั้งพรรค ขอเวลา 60 วันเดินเครื่องลุย หาตัวหัวหน้า-ชื่อพรรคทันควัน ขณะที่รัฐบาล-ฝ่ายค้าน อ้าแขนรับน้องใหม่ เข้าสู่สนามการเมือง “อภิ สิทธิ์” โวลั่นไม่เคยหวั่นไหว แค่มีคู่แข่งเพิ่มขึ้น “สุเทพ” อวยพรให้สำเร็จ แต่ไม่ขอวิจารณ์หาก “สนธิ” ขึ้นนั่งเก้าอี้หัวหน้า ส่วน “กกต.” จ้องฟันบุคคลล้มละลาย ด้าน “เทพไท” อัดโฆษกเพื่อไทย “จ๋อจ้อหน้าจอ” ด้านอนุกก.สอบทุบรถนายกฯ ส่งเทียบเชิญผบ.ตร.-ปลัดมหาดไทย-สื่อมวลชนให้ข้อมูล “ผบช.น.” ปิ๊งไอเดียแจกปฏิทิน จับเสื้อเหลือง-แดง ตั้งรางวัลรายละ 5 หมื่นบาท

ภายหลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดประชุมสภาพันธมิตรฯ ที่อาคารนันทนาการ ม.รังสิต เพื่อเดินหน้าการเมืองใหม่และตั้งพรรคการเมือง โดยจะนำผลประชุมไปขอมติจากแนวร่วมพันธมิตรฯทั่วประเทศที่จะเดินทางมาประชุม ใหญ่ ที่สนามกีฬา ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

“มาร์ค”ไม่หวั่นพรรค พธม.

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 25 พ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯตั้งพรรคการเมืองและอาจส่งผลต่อบุคลากร ของพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจย้ายพรรค ว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่แต่ละคนคงต้องตัดสินใจถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ เมื่อมีพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ก็ถือเป็นการแข่งเพิ่มเติม และถ้าการแข่งขันเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับระบอบ ประชาธิปไตย ในส่วนบุคลากรของพรรคประชาธิปัตย์ต่างทำงานร่วมกับพรรคมาอย่างต่อเนื่องก็จะ ทราบแนวทางการทำงานอย่างชัดเจนจึงเชื่อว่าคนที่ตัดสินใจเข้ามาร่วมอุดมการณ์ กับเราแทบจะทั้งหมดก็ยังยืนหยัดที่จะทำงานร่วมกับเราต่อ

โวมีคู่แข่งยิ่งทำให้ตื่นตัว

เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีคนไหลออกจนส่งผลกระทบต่อพรรคหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ตอนนี้คิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมิน ความจริงแล้วการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะเห็นใกล้ ๆ เลือกตั้งมากกว่า ส่วนกรณีที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯให้เหตุผลการตั้งพรรคครั้งนี้ว่า เป็นเพราะผิดหวังจากการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็เป็นความคิดเห็นที่ สามารถที่จะสะท้อนได้เพราะคิดว่าเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องในระบอบ ประชาธิปไตยจะต้องมีการแข่งขันและยิ่งมีคู่แข่งเพิ่มเท่าไหร่เราก็ยิ่งต้อง มีความตื่นตัวในการที่จะสนองตอบกับประชาชนมากเท่านั้น

“เทพเทือก”ยินดีรับสู่สังเวียน

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ายินดีด้วยและขอต้อนรับในฐานะที่เป็นนักการ เมืองมาทั้งชีวิตของตน การที่เห็นพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น และนำข้อเสนอ ใหม่ ๆ มาเสนอต่อประชาชน ตนดีใจที่เห็นเขา ตั้งพรรคการเมืองและขอให้ตั้งสำเร็จ ตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้าฝ่ายต่าง ๆ จะสู้กันในระบบใครมีความเห็นอย่างไรก็เสนอต่อประชาชนและให้ประชาชนเป็นผู้ ตัดสินว่าจะมอบหมายความไว้วางใจให้ใคร ตนลงสมัครผู้แทนมา 31 ปีก็ไม่มีครั้งไหนที่ลงสมัครเพียงคนเดียวเพราะมีคู่แข่งทุกครั้ง

เมื่อถามว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯจะมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในของเขาตนคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์

“ปชป.”ยันทำงานเพื่อส่วนรวม

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมดยืนยันว่าตลอดเวลาที่ตั้งพรรคประชาธิปัตย์มาได้ ยึดมั่นในหลักของประโยชน์ส่วนรวม ความถูกต้องชอบธรรม และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาโดยตลอด หากการทำหน้าที่ของพรรคที่ผ่านมาทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลประชาชนไม่ได้มองว่า พรรคยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง พรรคประชาธิปัตย์คงไม่มีโอกาสอยู่มาถึง 64 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำพรรค ปชป. ได้มีการประเมินว่า หากพรรคพธม.เกิดขึ้นจริงในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีผลกระทบต่อปชป.ไม่มาก นัก เนื่องจากปชป.มีฐานเสียงแข็งอยู่แล้ว ในพื้นที่ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลาง แต่อาจจะมีผลต่อการแย่งชิงส.ส.ในพื้นที่ซึ่งปชป. ไม่เคยเป็นเจ้าของพื้นที่มาก่อน อาทิ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อัดโฆษกพท. “จ๋อจ้อหน้าจอ”

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยตั้งฉายาให้รัฐบาลและรัฐมนตรีว่า อาจเป็นมุกตลกหรือต้องการให้เป็นสีสันในการแถลงข่าว แต่นั่นคือพฤติกรรมของลิเกหลงโรง ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้สองมาตรฐานอย่างที่กล่าวหา แต่เรื่องสองมาตรฐานหรือดับเบิ้ลสแตนดาร์ด มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯจึงอยากให้คนที่ตั้งกับนายอภิสิทธิ์ ว่าสองมาตรฐานกลับไปดูเจ้านายของตัวเองเสียก่อน และขอตั้งฉายาโฆษกพรรคเพื่อไทยว่า “ไอ้จ๋อจ้อหน้าจอ”

กกต.ระบุพธม.ยังไม่ยื่นแจ้ง

ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายปกครอง สุนทรสุทธิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯที่จะเตรียมตั้งพรรคการเมืองอาจจะใช้ชื่อว่า พรรคเทียนแห่งธรรม และ พรรคประชาภิวัฒน์ นั้น ทั้ง 2 พรรคการเมืองอยู่ระหว่างการดำเนินการหาสมาชิกพรรคและจัดตั้งสาขาพรรคให้ครบ 4 ภาค ตาม พ.ร.บ. พรรคการเมืองมาตรา 26 หากพรรคใดไม่สามารถดำเนินการภายใน 1 ปี ซึ่งจะเป็นเหตุให้พรรคการเมืองดังกล่าวต้องสิ้นสภาพไป สำหรับชื่อพรรคการเมืองใหม่นั้นยังไม่มีการยื่นเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามหากใครต้องการยื่นจดแจ้งขอจัดตั้งพรรคการเมืองโดยใช้ชื่อว่า พรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็สามารถยื่นเข้ามาได้ในขณะนี้เพราะนาย ทะเบียนยังไม่ได้ตอบรับ

จ่อตีความบุคคลล้มละลาย

ต่อข้อถามว่า หากพันธมิตรฯจะขอซื้อชื่อพรรคการเมืองที่ กกต.รับจดแจ้งจัดตั้งพรรคไว้แล้วเพื่อง่ายต่อการดำเนินการทางการเมืองทำได้ หรือไม่ นายปกครอง กล่าวว่า ใครจะไปอยู่เป็นสมาชิกพรรคไหนก็สามารถทำได้ หากมีคุณสมบัติเข้าตามเกณฑ์ แต่การไปเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็จะมีคุณสมบัติสูงกว่าการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในมาตรา 102 (2) ระบุว่า ต้องไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต ซึ่งหากนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯจะมาเป็น หัวหน้าพรรคการเมืองนั้น ก็ต้องมีการตีความเนื้อหาคำพิพากษาของศาลระบุไว้อย่างไร

พท.ตั้งข้อสังเกต 6 ประเด็น

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยแถลงถึงการตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯว่า พรรคเพื่อไทยขอแสดงความยินดีกับแนวคิดตั้งพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ดีกว่าไปเล่นการเมืองข้างถนนและเป็นอีแอบ แต่ตนขอตั้งข้อสังเกตใน 6 ประเด็น คือ 1.พรรคพันธมิตรฯคงเป็นเพียงพรรคสาขาของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ก็ยังเป็น ส.ส.สัดส่วนของประชาธิปัตย์ 2.เป็นการตระบัดสัตย์ลวงโลก เพราะนาย สนธิ เคยประกาศจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง 3.แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯมีคดีจำนวนมาก 4.ถ้าเป็นพรรคการเมืองเงินบริจาคที่ให้เอเอสทีวีหลายร้อยล้านจะเสียภาษีหรือ ไม่ 5.กฎหมายพรรคการเมืองห้ามยุ่งหรือครอบครองสื่อ และ 6.แกนนำยังจะใช้นโยบายยึดสนามบิน ทำเนียบ เพื่อแลกกับตำแหน่งอีกหรือไม่

เสื้อเหลืองตบเท้าแสดงพลัง

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยา กาศ ที่สนามกีฬา ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กลุ่มพันธมิตรฯ ได้จัดงาน “193 วันรำลึก 1 ปีแห่งการต่อสู้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิป ไตย” โดยมีแนวร่วมเสื้อเหลืองทยอยมาร่วมงานตั้งแต่ช่วงสายอย่างคึกคัก จนกระทั่งช่วงบ่ายมีจำนวนกว่า 4 หมื่นคนก็จับจองที่นั่งจนเกือบเต็มอัฒจันทร์ทั้ง 4 ด้าน ส่วนบริเวณหน้าลานทางเข้าสนามกีฬา ได้มีการนำชุดของนายสนธิ ซึ่งเป็นชุดเปื้อนเลือดที่ใส่ขณะถูกลอบยิงมาใส่กรอบใหญ่เขียนว่า “การเมืองใหม่ ต้องเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ” นอกจากนี้ยังมีการนำสิ่งของที่ระลึกเสื้อผ้า หมวก ผ้ายันต์ และจตุคาม ฯลฯ มาวางจำหน่าย ในส่วนของการรักษาความปลอด ภัยได้มีการตั้งเครื่องสแกนวัตถุโลหะทุกประตูทางเข้าเพื่อตรวจความปลอดภัย อย่างเข้มงวด

แกนนำโผล่ร่วมงานครบ

จากนั้นเวลา 15.52 น. เริ่มมีกิจกรรม ปล่อยขบวนพาเหรดของภูมิภาคต่าง ๆ เช่น พาเหรดกลองสะบัดชัย การเชิดสิงโต รำกลองยาว ปิดท้ายด้วยขบวนล้อการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน รวมไปถึงกลุ่มเสื้อแดง สำหรับบรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะเป็น นายสนธิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา ต่างสวมใส่เสื้อสีเขียวอ่อน ที่มีข้อความว่า “193 วัน รำลึก 1 ปีแห่งการต่อสู้พันธมิตรฯ” มาร่วมงานพร้อมเพรียง บรรยากาศในช่วงเย็นจึงเต็มไปด้วยความคึกคัก เนื่องจากมีแนวร่วมเสื้อเหลืองจากทั่วสารทิศทยอยมาสมทบอีกจำนวนมาก

อ้างฟังเสียงมติผู้ชุมนุม

นายสมศักดิ์ ในฐานะประธานสภาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ ถึงการลงมติในการชุมนุมวันนี้ว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อจากเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยให้ประชาชนยกมือหรือปรบมือตอบรับในสองประเด็นหลัก คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการจัดตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ซึ่งถือเป็นหลักการของประชาธิปไตย ทางตรง ทั้งนี้ หากที่ประชุมมีมติอย่างไร ทางแกนนำพร้อมจะปฏิบัติตาม และแม้ว่าจะมีพรรคหรือไม่มีพรรค ทางกลุ่มพันธมิตรฯก็จะยังทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลเช่นเดิม การโหวตในช่วงประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ถ้ามีมติให้ตั้งพรรคจริงก็จะมีกระบวนการดำเนินการต่อ ไม่ว่าจะเป็นหยั่งเสียงประชาชนถึงชื่อพรรคและหัวหน้าพรรค ต้องใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 60 วัน จึงจะเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน

ประชุมอนุกก.ทุบรถนายกฯ

ที่รัฐสภา คณะอนุกรรมการรวบรวม เหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่มีนางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ เป็นประธาน ได้มีการประชุมนัดแรกโดยได้กำหนดกรอบการทำงาน โดยสรุปประเด็นภาพรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กระทรวงมหาดไทย ในวันที่ 12 เม.ย. และศึกษาลงลึกในประเด็นที่อยู่ในความสนใจสังคมและเหตุการณ์ที่คลางแคลงใจ ประชาชน อาทิ นายกฯ อยู่ในรถหรือไม่, การทุบรถจัดฉากหรือไม่ รวมไปถึงข้อสงสัยว่ามีการใช้อาวุธปืนทำร้ายผู้ชุมนุมเสียชีวิต ฯลฯ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้เชิญ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตัวแทนของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มาให้ข้อมูลในการประชุมวันที่ 27 พ.ค.

เสนอดึงสื่อเทศให้ข้อมูล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการประชุม มีความเห็นที่ขัดแย้งระหว่างอนุกรรมการจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยเมื่อที่ประชุมมีความเห็นในเรื่องขอข้อมูลจากผู้สื่อข่าวไทยและต่าง ประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อนุกรรมการ กล่าวว่า ธรรมชาติของนักข่าวที่ติดตามนายกฯ บางทีก็มีความสนิทสนม บางมุมกล้องจึงอาจจะเป็นใจ อย่างกรณีนักข่าวที่อยู่ประจำพรรคไหนก็มักจะเป็นใจกับพรรคนั้น ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ควรขอข้อมูลจากนักข่าวต่างประเทศด้วย เพราะมีมุมมองแตกต่างจากนักข่าวไทย

ด้านนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อนุกรรมการ กล่าวว่า นักข่าวไทยมีจรรยาบรรณพอ และตนเชื่อว่าใน สถานการณ์เช่นนั้นคงไม่มีนักข่าวคนใดมีใจเข้าข้างใดข้างหนึ่ง เพราะทุกคนมุ่งที่จะทำงานเหมือน กัน ส่วนนายชิงชัย รุ่งละโภ บรรณาธิการข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์บ้านเมือง อนุกรรมการ ตัวแทนสื่อมวลชน กล่าวว่า การทำงานในวันเกิดเหตุมีผู้สื่อข่าวมาทำข่าวหลายสายไม่เฉพาะผู้สื่อข่าวที่ ติดตามนายกฯ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเชื่อว่าจะไม่มีการปรุงแต่งเหตุการณ์ขึ้นอย่างแน่นอน

จ่อแสดงตัวตร.เสื้อน้ำเงิน

ส่วนการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่เมืองพัทยาและภูมิภาค โดยมีนายอโณทัย ฤทธิ์ปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้มีการกำหนดกรอบทำงาน โดยเห็นว่าควรมีการสรุปภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยาตั้งแต่วันที่ 8-15 เม.ย.ที่ผ่านมา และเห็นว่าควรลงพื้นที่พัทยาและสอบถามข้อเท็จจริงที่ศาลากลางจังหวัดชลบุรี ในวันที่ 8 มิ.ย. นี้ พร้อมทั้งจะเชิญอดีต ผวจ.ชลบุรี และอดีต ผบก.ภ.จว.ชลบุรีมาชี้แจง อย่างไรก็ตามในการประชุมอนุกรรมการฯในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายบรรจบ รุ่งโรจน์ ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ และนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าควรมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงิน ยืนยันเป็นคนชลบุรีไม่ใช่ตำรวจหรือทหารที่ถูกสั่งเกณฑ์มา

ขณะที่นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส. ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีพยานและหลักฐานว่ากลุ่มคนเสื้อน้ำเงินเป็นตำรวจถูกสั่งให้มาจำนวน 4 จังหวัด จังหวัดละ 150 นาย ซึ่งตำรวจเหล่านั้นพร้อมที่จะมาให้ข้อมูล

“ธานี”ประชุมสางคดียิง “สนธิ”

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. พร้อมพนัก งานสืบสวนสอบสวนคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ร่วมประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการให้ชุดทำงานรายงานผลการสืบสวนสอบสวนว่าดำเนินไปได้ แค่ไหน เนื่องจากขณะนี้ยังรวบรวมพยานหลักฐานได้ไม่ครบ โดยในวันนี้ได้สั่งการให้ทีมงานไปดำเนินการหาพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุเพิ่ม เติมและให้กลับมารายงานผลในอีก 7 วันยืนยันว่ายังไม่มีการออกหมายจับใคร

ลุ้นขอปิดคดีก่อนเกษียณ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวชุดทำงาน ไม่สามารถทำคดีให้คืบหน้าได้เนื่องจากเจอ “ตอ” จริงหรือไม่ พล.ต.อ.ธานี ตอบว่า อะไรคือ “ตอ” การประชุมวันนี้ก็เน้นย้ำชุดทำงานว่าอย่าไปฟังข่าว ลือเพราะมีทั้งจริงและไม่จริง ตำรวจต้องทำงาน แม้มีอุปสรรคอะไรก็ตาม ขอยืนยันเหมือนเดิมว่าจะทำคดีให้เสร็จภายใน 4 เดือน ก่อนเกษียณอายุราชการอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธานี รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ผบ.ตร.มีคำสั่งให้เปลี่ยนหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีวันที่ 7 ต.ค. 51 จาก พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็น พล.ต.อ.ธานี ว่า คดีนี้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสืบสวนจนมาถึงตนเป็นคนที่ 4 แล้ว ซึ่งตอนนี้มีคดีสำคัญ ๆ ที่ตนรับผิดชอบอยู่หลายคดี แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งการมาต้องทำตามส่วนรายละเอียดของคดีขณะนี้ยังไม่ ทราบ แต่ในวันที่ 27 พ.ค. นี้ได้เรียกพนักงานสอบสวนเข้าประชุมเพื่อติดตามดังกล่าวแล้ว

ทำปฏิทินจับเสื้อเหลือง-แดง

ด้านพล.ต.ท.วรพงษ์ ผบช.น. กล่าวถึงการจัดทำประกาศสืบจับผู้ชุมนุมเสื้อเหลือง และเสื้อแดง เช่นเดียวกับการออกปฏิทินโจรซึ่งได้ผลดีจนสามารถนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา ได้จำนวนหลายรายนั้น ล่าสุดจึงได้จัดทำปฏิทินสืบจับอีก 2 ชุด ๆ ละ 500 แผ่นเพื่อแจกจ่ายไปยังสถานีตำรวจต่าง ๆ และชุมชน ชุดแรกเป็นกลุ่มเสื้อเหลือง 20 รายที่ยกพวกก่อเหตุบุกสถานีวิทยุชุมชนแท็กซี่ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อช่วงปลายปี 51 แต่ละคนเป็นชายฉกรรจ์ไม่ทราบชื่อ มีรางวัลนำจับ รายละ 50,000 บาท ส่วนชุดสองเป็นกลุ่มเสื้อแดง 29 ราย ที่ก่อเหตุภายในกระทรวงมหาดไทย สามารถจับกุมได้แล้ว 2 ราย ทั้งนี้ผู้ที่พบเห็นเบาะแสโทรฯ แจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์สืบสวน บช.น. โทร. 0-2345-3399, ที่กก.สส.บก.น. 2 โทร. 0-2585-5335 และที่กก.สส.บก.น.6 โทร. 0-2223-4443

“มานิตย์”ลุ้นกลับรับราชการ

ช่วงสายวันเดียวกันที่ บช.น. พล.ต.ต. มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ อดีต ผบก.น.1 ที่ถูกให้ออกจากราชการจากกรณี ป.ป.ช.ระบุโทษผิดวินัยร้ายแรง สมัยดำรงตำแหน่งเป็น “รอง ผบก.น.6” แล้วเกิดเหตุการณ์กลุ่มชายฉกรรจ์ทำร้ายแนวร่วมพันธมิตรฯ ที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งนี้ พล.ต.ต.มานิตย์ ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าที่บช.น. เปิดเผยว่า คดีที่ป.ป.ช.ยื่นฟ้องนั้นสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วจึงได้ยื่นเรื่องขอกลับเข้ารับ ราชการตามมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาตินานแล้ว แต่เรื่องยังค้างอยู่ไม่รู้จะถูกนำเข้าที่ประชุม ก.ตร.อีกเมื่อใด ล่าสุดจึงตัดสินใจไปยื่นเรื่องต่อที่ศาลปกครองช่วยพิจารณาตัดสิน.

มท.1 ขู่ชาติชายจากกันด้วยดี

จับตาดูอีกฝ่ายแถลงเปิดโปงก่อนถูกเขี่ยทิ้ง

จับตา"ชาติชาย"เปิดใจหมดเปลือก ยังกั๊กเก้าอี้รอ “มาร์ค” ตัดสินใจ ฝ่าย “ชวรัตน์” ยันวันนี้ส่งชื่อ รมช.เกษตรฯ คนใหม่แน่นอน เตือน “รมต.ข้าวนอกนา” แถลงจากกันด้วยดี ขณะที่ “มาร์ค” ลั่น “ปชป.” ไม่ร้าว แถมไม่ให้ราคาคนต่อรองเก้าอี้ ส่วน “เทพเทือก” ปัดข่าวให้สัญญาใจ “เฉลิมชัย” จองคิว รมต. งวดหน้า พร้อมอุ้มทีม ศก. ทำงานดี “กอร์ปศักดิ์” ว้าก “เพื่อไทย” ปล่อยข่าวย้ายรังไม่เข้าท่า ฟาก “เสี่ย ตาล” สั่ง “กรมกร๊วก-อสมท” ตีปี๊บผลงาน 6 เดือน รัฐนาวาส่ง “ขุนคลัง” แจง พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านวันนี้ “มาร์ค” มั่นใจศาล รธน. ไฟเขียวแน่ ด้าน “เพื่อไทย” ขนฝ่าย ก.ม. แจงศาล เล็งดาบสองถอด “ครม.” ทั้งยวง

“มาร์ค” ไม่ให้ราคาพวกต่อรอง

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ราชบัณฑิตยสถาน สนามเสือป่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงสะท้อนความไม่พอใจของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องการปรับ ครม. ทั้งที่เพิ่งจะมีการสัมมนาพรรค โดยนายอภิสิทธิ์ ย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า กลุ่มไหน พร้อมปฏิเสธว่า ไม่มีหรอก ความจริงตอนเป็นฝ่ายค้านก็มีเสียงสะท้อนที่หลากหลายในพรรค พอใจและไม่พอใจก็จะมีการพูดคุยกันในพรรค ถึงวันนี้ตนยังมองว่าไม่มีอะไร

ส่วนที่มีกระแสข่าวให้สัญญาว่าหากมีการปรับ ครม. ครั้งหน้าจะให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ เข้ามารับตำแหน่งนั้น นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องการต่อรองไม่มี และอยากจะขอร้องกับทุกคนที่ออกมาให้ข่าวต้องระมัดระวัง ความจริงปัญหาในเรื่องแบบนี้ผม ก็ย้ำไปแล้วครั้งหนึ่งว่าไม่ได้ช่วยในเรื่องการทำ ให้ประชาชนมีความมั่นใจในการเมืองโดยรวม”

“เทือก”ปัด“เฉลิมชัย”จองคิว

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า เป็นเรื่องปกติจองตำแหน่งไว้ก่อนได้ ส่วนจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ต้องให้เป็นตามกลไกของพรรค เมื่อตอนไปเกาะสมุยยังได้ คุยได้ทานข้าวกับนายเฉลิมชัย ซึ่งตนเคยพูดไปแล้วว่าไม่มีปัญหา ถ้ามีปัญหาก็บอกแล้ว

เมื่อถามว่า โพลบอกว่าถึงเวลาที่จะต้องปรับ ครม. เพราะมีรัฐมนตรีจำนวนมากที่ไม่มีผลงาน รองนายกฯ กล่าวว่า ก็ฟังเอาไว้ไปดูว่ารัฐมนตรีคนไหนที่ผลงานไม่ดีก็ขอให้เขาทำงาน เมื่อถามย้ำว่า ในพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะด้านทีมเศรษฐกิจมีหลายคนที่อยากให้มีการปรับ เปลี่ยน นายสุเทพ กล่าวว่า ในสถานการณ์เช่นนี้เข้าใจดีว่าฝ่ายที่รับผิดชอบทำงานยาก ฉะนั้นต้องเห็นใจและให้เวลา แต่ตนเห็นว่าทำงานได้ดีมาก และที่ผ่านมาแก้ปัญหาได้พอสมควร ส่วนเรื่อง ที่นายกฯ ระบุว่า 6 เดือนสมควรที่จะมีการปรับ ครม. นั้น คงต้องไปถามนายกฯ เพราะตนไม่ได้ยินเกรงว่าจะพูดผิดไป

“กอร์ปศักดิ์”ว้าก“พท.”กุข่าว

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคเพื่อไทยระบุว่าจะย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากน้อยใจที่ถูก กดดันว่า เรื่องนี้เลิกพูดได้ เพราะเป็นเรื่องเก่า และยืนยันว่าคนที่พูดเป็นการสร้างข่าวออกมาโดยไม่มีมูลความจริง ตนไม่เคยคิดย้ายพรรค ถ้าเลิกเล่นการเมืองก็เลิกไปเลย และการที่เราจะไปทำงานให้กับคนที่เราเคยตรวจสอบและเห็นว่าเป็นคนไม่ดี มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว การที่พรรคฝ่ายค้านปล่อยข่าวออกมาอย่างนี้ คงไม่มีเรื่องอื่นจะทำ น่าจะมาตรวจสอบการทำงานของพวกตนให้เป็นเรื่องเป็นราวดีกว่า

ต่อข้อถามว่า ในการสัมมนาพรรคที่เกาะสมุยได้เคลียร์ปัญหากรณีสมาชิกพรรคไม่พอใจการทำงาน แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหรือไม่ นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีใครที่ไม่เข้าใจตน เพราะในงานสัมมนาทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสดี ตนอธิบายให้ฟังทุกคนเข้าใจกันหมด ข่าวที่บอก ว่ามีบางคนไม่เข้าใจไม่ทราบว่ามาจากไหน ยืนยันว่าไม่มีใครติดใจ

“จ้อน”เตือน ส.ส. เลิกก่อหวอด

นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางส่วนไม่พอใจการทำงานว่า ตนไปร่วมการสัมมนาพรรคที่เกาะสมุย และได้สอบถาม เรื่องกลุ่ม 40 ส.ส. ทุกคนปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แต่ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวนี้ออกมา อย่างไรก็ตาม น่าจะเป็นการหยั่งท่าทีมากกว่า เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าระบบของพรรคจะใช้วิธีต่อรองหรือการสร้างกลุ่มก๊วน ไม่ได้ และไม่เชื่อว่าจะมีลักษณะ การตั้งกลุ่มในพรรคตอนนี้ แต่อาจเป็นเรื่องของตัวบุคคล

เมื่อถามว่า ตัวบุคคลนั้นหมายถึงนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ใช่หรือไม่ นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะนายเฉลิมชัยไม่ได้มีเรื่องกับตน และในการเลือกบุคคลเป็นรัฐมนตรีก็เป็นการลงมติเลือกระหว่างนายเฉลิมชัยและ นายธีระ สลักเพชร รองเลขา ธิการพรรค ทั้งคู่เป็น ส.ส. 3 สมัย ส่วนตนอาวุโสสูงสุด 5 สมัย ไม่มีใครมาแข่งอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค และเป็นเรื่องที่ ส.ส. โดยเฉพาะพรรคแกนนำต้องช่วยสนับสนุนการทำงานของนายกฯ และรัฐบาล ไม่ใช่มาทำให้เกิดปัญหาต่อเสถียรภาพของพรรคแกนนำ

สั่งตีปี๊บผลงานรัฐบาล 6 เดือน

ที่กรมประชาสัมพันธ์ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว มอบนโยบายการทำงานเรื่อง “ไทยอาสาโฆษกรัฐบาลประจำท้องถิ่น รุ่น 1 (อสฆ.)” ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลจะทำงานครบ 6 เดือนในวันที่ 29 มิ.ย. นี้ จึงขอให้ทุกหน่วยงานไปทำสรุปผลงานที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาลมาให้ชัดเจน เพื่อตอบประชาชนให้ได้ว่านโยบายและการใช้งบประมาณของรัฐบาลในแต่ละเรื่องมี ความคืบหน้าไปเพียงใด ตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. นี้ จะประสานไปยังกรมประชาสัมพันธ์ และบริษัท อสมท จำกัด (มหา ชน) ให้ไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีและปลัดกระทรวงทุกคน เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงผลงานของแต่ละหน่วยงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาว่าได้ดำเนินการอะไรไปบ้าง

ฉะแหลกทั้ง“ปชป.-พรรคร่วม”

นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ควรจะให้โอกาสนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นรัฐ มนตรีในการปรับ ครม. ครั้งหน้า เพียงแต่อยากให้ทุกคนได้ทำงานครบเวลา 1 ปีก่อน ใครทำงานไม่ได้หรือไม่สร้างความเข็มแข้งให้กับพรรคก็ควรปลดออกไป นอกจากนี้ยังเห็นด้วยกับการเพิ่มโควตารัฐมนตรีให้กับภาคอื่น ๆ บ้าง ไม่ควรกระจุกอยู่ในภาคใต้เพียงอย่างเดียว

ส.ส.ชลบุรี กล่าวว่า ผู้บริหารพรรคไม่ควรนิ่งนอนใจกับข่าวปล่อยว่ามีสมาชิกจะย้ายพรรค เพราะ ส.ส.หลายคนไม่ได้เข้ามาเพราะกระแสพรรค แต่เข้ามาด้วยความสามารถของตัวเอง หากเอาแต่เล่นพรรคเล่นพวก ผันงบเข้าพื้นที่คนใกล้ชิดตัวเอง ไม่แน่ว่าเมื่อความอดทนของคนหมดลง อาจจะมีคนย้ายพรรคจริง ๆ ก็ได้ นอกจากนี้คนในพรรคเริ่มพูดคุยถึงความอึดอัดที่พรรคร่วมรัฐบาลบีบนายกฯ เพื่อขอโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน ที่ราคาเช่าสูงเกินจริง หรือโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรที่ทำเมื่อไรก็ขาดทุน จึงอยากถามพรรคร่วมรัฐบาลเหล่านั้นว่า คิดถึงประโยชน์ของชาติบ้างหรือไม่ หรือเอาแต่คิดถึงประโยชน์ของตัวเอง อย่างเดียว

“ชวรัตน์”ดักคอจากกันด้วยดี

นายชาติชาย พุคยาภรณ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า วันที่ 26 พ.ค. เวลา 13.00 น. จะแถลงข่าวเปิดใจถึงปัญหาทางการเมืองทุกประเด็น สำหรับการทำงานในตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ ถือว่าทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ให้กำลังใจในการทำงาน ส่วนจะปรับตนออกจาก ครม. หรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกฯ จะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม และถ้าหากการปรับ ครม. มีความเหมาะสมก็พร้อมออกจากตำแหน่ง

ขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว. มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวยืนยันว่า จะส่งชื่อ รมช.เกษตรฯ คนใหม่ให้นายกฯ ในวันที่ 26 พ.ค. นี้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นบุคคลใด โดยขณะนี้ยังไม่ได้คุยหารือกับนายกฯ ส่วนการแถลงข่าวของนายชาติชายใน วันที่ 26 พ.ค. ตนไม่ทราบว่าจะแถลงเรื่องอะไร ซึ่งแนวโน้มน่าจะเป็นการจากกันด้วยดี อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าไม่มีการกดดันไม่ให้มีการแถลงข่าว สำหรับโพลที่ต้องการให้ปรับ รมว.มหาดไทย ถือเป็นกระจกเงาให้รู้ข้อบกพร่องเพื่อนำไปสู่การแก้ไข และไม่สามารถตอบได้ว่าการปรับ ครม.ครั้งนี้ นายกฯ จะปรับตำแหน่งของตนหรือไม่

“พรทิวา”โต้ถูกเขี่ยพ้น ครม.

ที่กองบัญชาการกองทัพบก นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการถูกปรับออกจาก ครม. ว่า นายกฯ พูดชัดเจนว่าจะปรับเพียง 1 ตำแหน่ง คือ รมช. เกษตรฯ เมื่อถามว่า รู้สึกหนักใจและน้อยใจหรือไม่ที่ถูกกระแสให้ปรับพ้นตำแหน่ง นางพรทิวา กล่าวติดตลกว่า “ไม่มี สีทนได้” เมื่อได้รับมอบหมายให้มาทำงานตรงนี้ก็ต้องทำให้ดีที่สุด และจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล

รมว.พาณิชย์ กล่าวด้วยว่า ในการเข้าหารือกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ครั้งนี้ ท่านได้ให้กำลังใจ โดยบอกว่าให้สู้และยิ้มเข้าไว้ เรื่องธรรมดาที่ในการงานต้องมีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ส่วนกระแสข่าว ส.ส.พรรคอื่นมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยนั้น ก็มีมาบ้างแล้ว แต่ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เห็น ผู้สื่อข่าวถามว่าการประชุมกับ ผบ.ทบ. ได้พูดคุยถึงจะเสนอให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว. กลาโหม มาเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ไม่ได้คุย คงต้องเป็นเรื่องของพรรค

รบ.ส่ง“ขุนคลัง”ชี้แจงเหตุผล

อีกเรื่องหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ในวันที่ 26 พ.ค. ว่า นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลังจะเดินทางไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง โดยมีเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปร่วมชี้แจง ด้วย ซึ่งตนได้ดูคำชี้แจงที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วและมั่นใจว่า จะสามารถ ชี้แจงได้ เพราะเมื่อดูจากเหตุผล และแนววินิจฉัยในอดีตที่รัฐบาลนำมาใช้ตัดสินใจก็คิดว่าทุกอย่างเป็นไปตาม เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ จะไปชี้แจงข้อมูลต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เข้าใจว่าศาลต้องการผู้เกี่ยวข้องโดยตรงคือกระทรวงการคลัง แต่หากมีอะไรอยากสอบถามเพิ่มเติมตนก็ยินดี อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา กระทรวงการคลังก็ต้องเตรียมการให้พร้อม โดยเฉพาะเรื่องการออกพันธบัตร

“พท.” เล็งดาบสองฟัน “ครม.”

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า คณะทำงานของพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ และตนเอง รวมถึงฝ่ายกฎหมายจะเข้าชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามหากศาลชี้ว่าไม่ขัด รัฐธรรมนูญจะเป็นมาตรฐานใหม่ แต่ถ้าขัดรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยจะยื่นฟ้องนายกฯ และ ครม. ทั้งคณะ ข้อหาจงใจกระทำการขัดรัฐธรรม นูญ รวมทั้งรวบรวมรายชื่อ ส.ส. 1 ใน 4 เพื่อยื่นถอดถอนต่อประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 271 ด้วย

รายงานข่าวจากศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาใน 2 ประเด็น คือ การออก พ.ร.ก. ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และเนื้อหาของ พ.ร.ก. ชอบตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 หรือไม่ หากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ซับซ้อนมาก คาดว่าจะสามารถวินิจฉัยได้ในวันที่ 27 พ.ค. นี้เลย

ปูดรัฐนาวาส่งสัญญาณยุบสภา

นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ทราบข่าวจากเพื่อน ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลว่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลได้สั่งให้ ส.ส. เร่งลงพื้นที่ภายใน 1-2 เดือนนี้ เพราะอาจมีการยุบสภาก่อนเดือน ธ.ค. ปีนี้ สาเหตุหลักมาจากความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ตลอดจนความระหองระแหงระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลและปัญหาภายในพรรคประชาธิปัตย์ ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล หากยื้อต่อคะแนนเสียงจะยิ่งหายไป ในส่วนของพรรคเพื่อไทยได้เตรียมความพร้อมแล้ว

ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า ค่อนข้างแน่ชัดว่าการประชุมพรรคในวันที่ 31 พ.ค. จะยังไม่มีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดย ขณะนี้แกนนำพรรคกำลังดำเนินการทาบทามผู้ที่เหมาะสมเพื่อเป็นหัวหน้าพรรคยาว ไปจนถึงการเลือกตั้ง ยอมรับว่ามีนายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกฯ รวมอยู่ด้วย ซึ่ง ส.ส.จำนวนมากสนับสนุนเนื่องจากมีความรู้โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ หากพรรคได้มาเป็นผู้นำเชื่อว่าประชาชนจะให้การสนับสนุน

แนะ ขรก.วางแผนบริหาร ม.190

เย็นวันเดียวกัน ที่โรงแรมดุสิตธานี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ บรรยายพิเศษในหัวข้อมุมมองด้านการต่างประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบันตอนหนึ่ง ว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินงานต่างประเทศอย่างเต็มที่ในขณะเดียวกันต้อง รักษาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนส่งเสริม นโยบายด้านการต่างประเทศในเชิงรุก อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญได้มีบทบัญญัติมาตรา 190 ซึ่งโดยเจตนาแล้วถือว่าสอดคล้องกับงานด้านต่างประเทศในยุคปัจจุบัน แต่มีปัญหาเนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบแปลความหมายจึงไม่รู้ว่าอะไรคือ ความชัดเจนหรือเป็นเรื่องที่ต้องเข้าสภา ซึ่งตนกำลังแสวงหาความพอดีในเรื่องนี้ จึงขอให้ทุกหน่วยงานวางแผนการทำงานว่าเรื่องใดอยู่ระหว่างการเจรจากับต่าง ประเทศโดยต้องมีการบริหารจัดการเวลากับสภา ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก นอกจากนั้นถือว่าทุกหน่วยงานมีส่วนช่วยในการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งควรจะทำงานแบบบูรณาการ

สภาสูงหนุนที่มา ส.ว. 2 ระบบ

วันเดียวกัน เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 วุฒิสภา โดยที่ประชุมได้หารือประเด็นที่มาของ ส.ว. นายไพบูลย์ ซำศิริพงษ์ ส.ว.ปทุมธานี และประธาน กมธ. กล่าวว่า ส.ว.ชุดนี้ มาจากการเลือกตั้งและสรรหา ร่วมงานมาปีกว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเติมเต็มความรู้ซึ่งกันและกัน จึงน่าจะคงไว้ให้มีสองประเภทคู่กัน เพียงแต่ที่ผ่านมาการเรียกชื่ออาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ดังนั้นอาจจะเปลี่ยนชื่อจาก ส.ว.สรรหา เป็น ส.ว.ภาคคุณวุฒิ ส่วน ส.ว.เลือกตั้งใช้ว่า ส.ว. ภาคประชาชน ส่วนจังหวัดใหญ่ก็น่าเพิ่มจำนวน ส.ว. ให้มาก

นพ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ ส.ว.สุรินทร์ กล่าวว่า ที่มาของ ส.ว. น่าจะอยู่ที่ช่วงเวลาความเหมาะสม เพราะเลือกตั้งทั้งหมดหรือแต่งตั้งทั้งหมดก็ถูกด่า ตนมองว่า เลือกตั้งทั้งหมดอาจไม่เหมาะ น่าจะมีสรรหาเข้ามาด้วย ประเด็นจึงน่าจะมามองว่า ทั้งสรรหาและเลือกตั้ง จะทำอย่างไรให้ได้คนตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

ตั้งประเด็นลดอำนาจ “ลากตั้ง”

น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ กล่าวว่า วุฒิสภาควรเป็นตัวแทนของกลุ่มที่ หลากหลายจากสาขาวิชาชีพ แต่จะมาด้วยการเลือกตั้งหรือสรรหาก็ควรจะมีการพิจารณาอีกครั้ง หากมีการสรรหาควรจะมีการสรรหาตามสาขาวิชาชีพจริง ๆ เพื่อเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วน ขณะที่นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ ส.ว.ยโสธร กล่าวว่า ตนเป็น ส.ส.ร.ปี 2550 จากการรับฟังความเห็นประชาชน 3 ครั้ง พบว่า ประชาชนต้องการให้ ส.ว.เลือกตั้ง แต่สุดท้ายคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญให้มาแบบผสม

ในช่วงท้ายการประชุม นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา ในฐานะเลขานุการ กมธ. ได้สรุปผลดังนี้ 1.ที่มาของ ส.ว. ให้คงไว้ทั้ง 2 ประเภท คือ สรรหาและเลือกตั้ง 2.การทำหน้าที่ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง หากยังคงมีสัดส่วนของ ส.ว. สรรหา มีข้อสังเกตว่าจะมีความเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งมีข้อเสนอว่า กระบวนการในการสรรหา ส.ว. ควรที่จะมีการครอบคลุมกลุ่มวิชาชีพและกลุ่มประชากร.