Wednesday, April 29, 2009

“บัญญัติ” ห่วงนิรโทษกรรมเปราะบาง หวั่นถูกวิจารณ์ไม่เคารพกฎหมาย

“บัญญัติ” เผยห่วงกรรมการแก้ปัญหาชาติหนักฝ่ายการเมือง หวั่นครอบงำความเห็นโดยเฉพาะการนิรโทษกรรมชี้เป็นปัญหาเปราะบางอาจถูก วิจารณ์ว่าไม่เคารพกฎหมาย เอื้อนักการเมือง แนะต้องสมานฉันท์คนนอกสภาด้วย ไม่เช่นนั้นยิ่งเพิ่มวิกฤตชาติ ยันพรรคร่วมไม่บีบพรรคแก้ รธน.

วันนี้ (29 เม.ย.) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ตนได้แสดงความเป็นห่วง ในการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ว่า รู้สึกเป็นห่วงองค์ประกอบของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเกรงว่าจะกลายเป็นฝ่าย การเมืองไปหมด ซึ่งจะไม่ดี เพราะในการพิจารณาเรื่องรัฐธรรมนูญทุกครั้งจะมีการแสดงความเห็นว่านักการ เมืองทำเองคงจะไม่เหมาะ และบางครั้งถึงขนาดไม่อยากให้นักการเมืองเกี่ยวข้องด้วยเลย ซึ่งก็ไม่ดี เพราะอย่างน้อย ควรมีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่บ้าง เพื่อสะท้อนปัญหา และแสดงความเห็นในทางปฏิบัติ แต่ก็ไม่ควรมีนักการเมืองเข้าไปมาก จนเข้าไปครอบงำการตัดสินของคณะกรรมการ นอกจากนี้ ยังระบุด้วยว่า ตนคงจะเข้าไปเป็นกรรมการไม่ได้ เพราะในสมัยที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนก็ออกมาคัดค้าน ดังนั้น การจะให้ตนไปนั่งเป็นกรรมการตั้งป้อมคัดค้านจะทำให้บรรยากาศจะไม่ดี จึงไม่เหมาะที่ตนจะเข้าไป

นายบัญญัติ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้ตั้งข้อสังเกตหลายเรื่อง ที่สำคัญคือ เรื่องนิรโทษกรรม ซึ่งตนเห็นว่าเป็นประเด็นที่เปราะบาง จึงขอฝากกรรมการที่เข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการให้ระมัดระวังด้วย ซึ่งเราไม่ต้องการจะกีดกันใคร เพราะมีคนดีๆ เยอะ แต่ต้องยอมรับความจริงว่าคนข้างนอกเขาวิจารณ์กันมาก ว่าจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าเป็นการไม่เคารพกฎหมายหรือไม่ เพราะทุกคนรู้มาก่อนแล้วว่ามีกฎหมายห้ามเอาไว้แต่ก็ไปทำผิด แล้วจะมาแก้กฎหมายก็จะเป็นปัญหาได้ นอกจากนี้ คนอาจมองได้ว่าไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เพราะศาลรัฐธรรมนูญซึ่งสูงกว่าศาลธรรมดาทั่วไปได้วินิจฉัยแล้ว จึงเกรงว่าจะมีปัญหาได้ และตนไม่ได้เป็นห่วงว่าถ้านิรโทษกรรมแล้วจะมีคนพวกนี้กลับมา พรรคประชาธิปัตย์จะมีปัญหา เราไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของพรรค แต่ยอมรับว่า มี ส.ส.บางส่วนที่กังวลในหลายเรื่อง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

“ส่วนที่มีการเป็นห่วงว่าพรรคประชาธิปัตย์ คงเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญน้อยมาตรา ขอยืนยันว่าหลักใหญ่ใจความของเราคือ ถ้ามีการแก้ไข ควรจะเป็นการขอแก้ไขเฉพาะในบทมาตราที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ หรือกระทบต่อระบบ ถ้าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวนักการเมืองก็ควรเป็นเรื่องที่กระทบต่อระบบ ของนักการเมืองโดยรวม ไม่ใช่เป็นนักการเมืองโดยกลุ่ม” นายบัญญัติ กล่าว

นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องยุบพรรคการเมือง หากติดตามกันมาตั้งแต่ต้น จะเห็นว่าคณะกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นห่วงว่าหากแก้ไขเรื่องการซื้อ เสียงไม่ได้ ก็จะแก้ปัญหาการทุจริตไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลแก้ปัญหาประชาธิปไตยไม่ได้ จึงคิดว่าถ้าจะแก้ปัญหานี้ได้ พรรคการเมืองต้องมีธรรมาภิบาล ต้องช่วยกันป้องกัน และต้องร่วมกันรับผิดชอบ ทำให้เกิดปัญหาว่ายาที่ออกมาแรงเกินไปหรือไม่ แต่หากเข้าใจสมมติฐานจะทำให้ยาอ่อนลง ก็ต้องช่วยคิดหามาตรการอื่น ที่จะป้องกันการซื้อสิทธิ์ขายเสียงไม่ให้มีการแพร่ขยาย ใช้เงินทองมากขึ้น ซึ่งจะนำสู่วัฐจักรคอร์รัปชั่น และวัฐจักรที่กลุ่มทุนเข้ามาใช้พรรคการเมืองเป็นเครือข่าย

นายบัญญัติ กล่าวอีกว่า แต่เมื่อสังคมแตกแยก มีคนพูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีก็ทำถูกแล้วที่ต้องหยิบรัฐธรรมนูญขึ้นมาดูว่าเป็นปัญหาจริงหรือ ไม่ แต่คณะกรรมการก็ต้องเข้าใจว่าความขัดแย้งของสังคม ที่ต้องการความปรองดองไม่ได้มีอยู่เฉพาะในรัฐสภาเท่านั้น แต่ข้างนอกยิ่งใหญ่กว่า เพราะฉะนั้นการหารือเรื่องความสมานฉันท์เป็นเรื่องดี แต่อย่าให้การสมานฉันท์นี้ไปทำให้ข้างนอกมีความขัดแย้งมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นจึงต้องไม่ให้คนข้างนอกมองว่าเรามานั่งสมานฉันท์กันเอง โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนข้างนอก หมายความว่า ถ้าในสภาสมานฉันท์กันได้ แต่ข้างนอกยังสมานฉันท์กันไม่ได้ ปัญหาจะไม่ยุติแล้วอาจจะกลายเป็นวิกฤตที่ใหญ่โตขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงต้องระวังว่านักการเมืองแก้รัฐธรรมนูญ โดยนักการเมือง เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง เป็นอันตรายแน่นอน

นายบัญญัติ กล่าวว่า แม้จะไม่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมเป็นกรรมการ แต่เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา พรรคประชาธิปัตย์ ก็จำเป็นต้องเสนอชื่อเข้าไปร่วมคณะกรรมการ แต่เมื่อทำงานแล้วจะต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา ตนอยากเสนอให้ 1.องค์ประกอบที่จะร่วมเป็นอนุกรรมการควรจะมีคนจากทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมด้วย โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของสังคมเข้ามาเป็น อนุกรรมการ ในการสร้างความเข้าใจในค่านิยมที่ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้ช่วงเปลี่ยนผ่านนำสู่ความสงบเรียบร้อยขึ้นถ้าจะมีฝ่ายการเมือง เข้าร่วมด้วยก็ขอให้เป็นเสียงข้างน้อย เพื่อจะไม่ครอบงำทิศทางของอนุกรรมการ 2.เมื่อมีการพิจารณาเรื่องบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ควรจะดูในบทบัญญัติที่กระทบต่อประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่เรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของนักการเมืองล้วนๆ เพราะจะเป็นอันตราย 3.หากมีการแก้รัฐธรรมนูญจริงๆ ขอให้มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนจริงๆ 4.ต้องรับฟังความเห็นของประชาชน ไม่น้อยกว่า ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่มีการรับฟังความเห็นอย่างทั่วถึง ถ้าไม่ทำอย่างนี้ แทนที่รัฐธรรมนูญจะสร้างความสมานฉันท์ อาจกลายเป็นสาเหตุของการเกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นผลที่ออกมาจะต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจได้ และเมื่อแก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว โดยที่ทุกภาคส่วนเห็นด้วย หากบรรยากาศทางการเมืองไม่มีอะไรติดขัดก็ควรจะมีการยุบสภาแล้วให้มีการเลือก ตั้งใหม่

เมื่อถามว่ามีข่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ถูกพรรคร่วมรัฐบาลบีบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ นายบัญญัติ กล่าวว่า คงไม่ แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่แต่ละคนจะมีการเสนอความเห็น ว่าจะแก้มาตราไหนอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่ากรรมการทั้งหลายจะลงความเห็นคล้อยตามหมด เพราะจะทำให้สังคมข้างนอกคลางแคลงใจได้ ซึ่งการที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการ ไม่ได้หมายความว่าจะไปคล้อยตามเขาทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ไปคัดค้านทุกเรื่อง

ต่อข้อถามว่า พรรคเพื่อไทยประกาศจะไม่ส่งคนเข้าร่วมเป็นกรรมการ นายบัญญัติ กล่าวว่า ตนฟังเสียงดูเห็นว่าเขาอ่อนลงแล้ว และในการประชุมวิป 3 ฝ่าย ฝ่ายค้านก็ส่งคนไปร่วมประชุมด้วย เมื่อถามว่า มีการเป็นห่วงว่ามีการเดินเกมใต้ดินจะทำให้ยิ่งเกิดปัญหา นายบัญญัติ กล่าวว่า ถือเป็นตัวแปรอีกอย่างหนึ่ง จึงอยากให้สังคมจับตามอง ถ้าทุกฝ่ายออกมาวิจารณ์ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม จะทำให้นักการเมืองกลัว ทั้งนี้ ยอมรับว่า ขณะนี้ข้าราชการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ดังนั้น รัฐบาลจึงควรรีบเร่งสร้างสมานฉันท์โดยเร็ว

“บุญจง” รอลุ้นมติ กกต.ฟันผิดแจกเงินชาวบ้าน ยันทำด้วยบริสุทธิ์ใจ

“บุญ จง” พร้อมยอมรับมติ กกต.เตรียมพิจารณาความผิดแจกเงินให้ชาวบ้านพร้อมนามบัตร 6 พ.ค.นี้ ยันทำไปด้วยใจบริสุทธิ์ ปัดวิจารณ์ข้อครหา กกต.อาจเข้าข้างคนของรัฐบาล ลั่นพร้อมพิสูจน์ถูกเพื่อไทยร้องอยู่เบื้องหลังคนเสื้อน้ำเงิน ขู่หากทำเสียหายเจอฟ้องกลับแน่

วันนี้ (29 เม.ย.) นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่ กกต.จะพิจารณาชี้ขาดคดีแจกเงิน 500 บาท พร้อมนามบัตรให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 6 พ.ค.นี้ ว่า คดีนี้ได้ชี้แจงกับ กกต.ไปแล้วทุกประเด็น หลังจากนี้รอเพียงการตัดสินใจของ กกต.ซึ่งก็เคารพการตัดสินของ กกต.และเชื่อว่า สิ่งที่ทำไป ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ส่วนจะกระทบต่อหน้าที่การงานหรือไม่นั้น ก็ต้องรอให้ผลการตัดสินออกมาก่อน

เมื่อถามว่า ขณะนี้หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ว่า กกต.จะดำเนินการ 2 มาตรฐานเข้าข้างคนของรัฐบาล นายบุญจง กล่าวว่า คงไม่สามารถก้าวล่วงกระบวนการนั้นได้ คงอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีเรื่องอยู่เบื้อง หลังนำคนเสื้อน้ำเงินออกมาสร้างความวุ่นวายในช่วงสงกรานต์ และการประชุมอาเซียนซัมมิต นายบุญจง กล่าวว่า ยังไม่ทราบ และหากมีการแจ้งความต่างๆ ขอให้อยู่ในกระบวนการยุติรรม เราพร้อมเข้าสู่กระบวนการพร้อมพิสูจน์และชี้แจง ส่วนจะเป็นเกมการเมืองโดยพยายามดึงกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินเข้ามาเกี่ยวกับคน เสื้อแดงหรือไม่ คงไปตอบแทนไม่ได้ว่าเขามีเจตนาอะไร แต่หากมีการแจ้งความหรือกล่าวหาจริงก็พร้อมไปชี้แจงกับพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม หากมีการฝ่าฝืนกฎหมายทำให้ตนและคนอื่นเสียหายก็จะใช้สิทธิทางกฎหมายฟ้องกลับ

“นิติธร” จ่อฟ้อง “ส.ส.เพื่อแม้ว” กล่าวหาอยู่เบื้องหลังก่อเหตุรุนแรง ปัดไม่เกี่ยวข้อง

ทนายพันธมิตรฯ ปัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เหตุการณ์วุ่นวายของกลุ่มหางแดง กับชาวบ้าน บริเวณถนนเพชรบุรีซอย 7 ตามที่ถูกกล่าวหา เผยเตรียมฟ้อง ส.ส.เพื่อไทย รวมทั้งฟ้องเอาผิดในการใช้ความรุนแรงป่วนประเทศ เข้าข่ายฐานก่อการร้ายมุ่งหวังให้กระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะ ปชช.ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวบหลักฐาน คาดไม่เกิดกลางเดือน พ.ค.ยื่นฟ้องแน่

วันนี้ (29 เม.ย.) นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวในรายการ New Hourชั่วโมงข่าว ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวหาว่า ตนอยู่เบื้องหลังก่อเหตุความรุนแรง ที่บริเวณถนนเพชรบุรี ซอย 7 ว่า ขณะนี้ตนกำลังรวบรวมหลักฐาน คนที่กล่าวหาตน เพื่อฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนขอปฏิเสธว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้ามการกระทำของพวกเสื้อแดงกลับก่อเหตุความวุ่นวายอย่างชัดเจน เข้าข่ายฐานก่อการร้ายมุ่งหวังให้กระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนจะฟ้องในฐานประชาชนคนหนึ่ง ที่เห็นเจตนาการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยจะยื่นฟ้องประมาณกลางเดือน พ.ค.

ส่วนการที่กลุ่มคนเสื้อแดง อ้างว่า มีคนปลอมตัวมาก่อเหตุความรุนแรงนั้น ตนเห็นว่า เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะกลุ่มเสื้อแดงเป็นคนจัดการชุมนุม ซึ่งจับทิศทางได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะมีความชัดเจนอยู่แล้ว อย่างกรณีที่ผู้ชุมนุมทุบรถนายกรัฐมนตรี ตำรวจสามารถนำภาพไปเปรียบเทียบได้ โดยการเช็กประวัติจากทะเบียนราษฎรได้ หรือหาพยานที่เห็นเหตุการณ์ไปสอบถาม เรื่องนี้เป็นการมุ่งร้ายผู้นำประเทศ ตำรวจสามารถประสานไปยังทุกสถานีตำรวจ และผู้ว่าราชการจังหวัด ประกาศให้ทราบ ซึ่งสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีได้ทั้งหมด

ทนายความพันธมิตรฯ ยังกล่าวถึงการกล่าวหาของกลุ่มเสื้อแดง ที่ว่ารัฐบาลดำเนินการสองมาตรฐาน ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่สองมาตรฐาน ซึ่งตำรวจและรัฐบาลดูเหตุการณ์แล้วก็รู้ เพราะการชุมนุมของพันธมิตรฯเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ไม่เคยก่อเหตุรุนแรง มิหน้ำซ้ำตำรวจยังรีบดำเนินการในคดีของพันธมิตรฯในการออกหมายจับแกนนำพัน ธมิตรฯ เราก็ทำตามกระบวนการยุติธรรม ในขณะที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมีความชัดเจน เจตนาก่อความรุนแรง มุ่งหวังทำลายประเทศ ก็ไม่เห็นตำรวจรีบร้อนดำเนินการอะไร เช่น กรณีการบุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งทางกฎหมายถือได้ว่าทำไปแล้ว เห็นผลทันทีว่าจะเกิดผลอย่างนั้น ล่าสุด ทุบรถนายกฯที่กระทรวงมหาดไทย และการบุกทำลายประชุมอาเซียนซัมมิต ที่พัทยา เจตนาดังกล่าวแสดงให้เเห็นว่า ไม่เคารพกฎหมาย ตนขอย้ำว่า ทุกคดีของพันธมิตรฯเราสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังไปตรวจสอบดูได้

“ชุมพล” แจงอนุ กกต.ยันตั้ง “วีระศักดิ์” นั่ง ปธ.บอร์ด ททท.ไม่ขัด กม.

รมว.ท่องเที่ยวและกีฬาฯ แจงอนุ กกต.หลังเจอ “สุรพงษ์” ร้องให้สอบคุณสมบัติ “วีระศักดิ์” นั่ง ปธ.บอร์ด ททท.ยันไม่ขัดกฎหมาย เหตุ พ.ร.บ.การท่องเที่ยว ไม่ห้ามตั้งคนถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองทำหน้าที่ในบอร์ด

วันนี้ (29 เม.ย.) ที่สำนักงาน กกต.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินทางเข้าชี้แจงต่ออนุกรรมการสืบสวนของ กกต.กรณี นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ขอให้ตรวจสอบกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานคณะกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยใช้เวลาชี้แจงประมาณ 2 ชั่วโมง

จากนั้น นายชุมพล ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการชี้แจงว่า การแต่งตั้ง นายวีระศักดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด ททท.สามารถทำได้ เนื่องจากไม่ขัดกับ พ.ร.บ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ.2550 และ พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจ เพราะกฎหมายดังกล่าวไม่ได้บัญญัติคุณสมบัติผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งว่า ต้องไม่เป็นผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง อีกทั้งตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ห้ามผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง มาเป็นประธานบอร์ดและดำรงตำแหน่งเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจ อย่างไรก็ตาม อนุกรรมการไม่ได้ติดใจประเด็นใดเป็นพิเศษ และไม่ได้นัดให้ตนมาชี้แจงเพิ่มเติม ส่วนเรื่องนี้จะสามารถสรุปได้เมื่อไหร่นั้น ตนไม่ทราบ

ศึกชิง 35 กมธ.สภาเดือด ปชป.เสนอจับสลากล้างไพ่ใหม่ เจอ พท.ประท้วงวุ่น

ที่ประชุมสภาผู้แทนฯ หยิบวาระการเลือกคณะกรรมาธิการ 35 คณะ ขึ้นพิจารณา ฝ่าย ปชป.เสนอให้จับสลากล้างไพ่ใหม่ ขณะที่ “พท.” โดดขวางไม่เห็นด้วยโละ อ้างไม่เป็นธรรม ขู่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ตีความ จน “ชัย” ต้องบี้เกม กำหนดให้พรุ่งนี้ต้องจบ ด้าน “สุนัย” ชี้ วิกฤตเศรษฐกิจรุมเร้า เสนองด ส.ส.ทัวร์นอก เหมือนตอนปี 40 เจอ “ชัย” ย้อนดี จะได้มีเงินเหลือสร้างรัฐสภาใหม่

วันนี้ (29 เม.ย.) ที่รัฐสภา ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ได้มีการเลื่อนระเบียบวาระเรื่องอื่นๆ ขึ้นมาพิจารณา โดยได้นำวาระการเลือกตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร (ใหม่) จำนวน 35 คณะๆ ละ 15 คน ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2551 ข้อ 42 โดยแบ่งตามสัดส่วนตัวแทนพรรคการเมืองที่ได้เป็นประธาน ดังนี้ พรรคเพื่อไทย 14 คณะ พรรคประชาธิปัตย์ 13 คณะ พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคละ 2 คณะ พรรครวมใจไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคประชาราช พรรคละ 1 คณะ

ทั้งนี้ นายชัย ชี้แจงว่า ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน เพราะเกรงว่าระหว่างนี้ หาก กมธ.ไปดูงานต่างประเทศ อาจจะขัดรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ควรทำให้จบๆ จะได้ไปเมืองนอกกันได้ ปรากฏว่านายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายแย้งว่า ในขณะนี้ประเทศไทยประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ งบลงทุนก็ลดลง จึงไม่อยากให้ ส.ส.ไปดูงานต่างประเทศ เพราะวันนี้มีการถ่ายทอดไปยังประชาชน จะทำให้เกิดภาพที่ไม่ดี แต่ นายชัย ตอบว่า การที่ ส.ส.ไปดูงานต่างประเทศ ก็เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ นายสุนัย ได้อภิปรายต่อว่า ส.ส.ไม่ควรไปเมืองนอกกันแล้ว เพราะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ส.ส.ก็ตกลงกันว่าจะไม่ไปดูงานเมืองนอก ทำให้ นายชัย กล่าวเสริมว่า ถ้าไม่ไปเมืองนอกจะดีที่สุด เพื่อเงินจะได้เหลือเอาไปสร้างรัฐสภาแห่งใหม่

จากนั้น นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ตนได้หารือกับตัวแทนของทุกพรรคการเมืองมาเป็นระยะๆ ในเรื่องของการตั้งกมธ.ซึ่งจะใช้วิธีการจับสลากเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและ ความเสมอภาค โดยให้แต่ละพรรคไปคัดเลือกตั้งบุคคลมา แต่ปรากฏว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทย โดย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย แจ้งมาเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถตกลงกันได้ ดังนั้น ถ้าวันนี้พรรคเพื่อไทยมีความพร้อมก็ขอให้เสนอต่อประธาน หรือให้เลื่อนวาระออกไป

แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงหลายคน โดย นายสุนัย อภิปรายว่า การหารือในการตั้งกมธ.ควรเป็นเรื่องภายในของวิปทั้งสองฝ่าย อย่ามาโยนขี้ให้กับคนอื่นอย่างนี้ ซึ่งก็รู้กันดีอยู่ว่าสาเหตุที่ไม่ลงตัวนั้นติดขัดอยู่ที่พรรคภูมิใจไทย ที่มีรัฐมนตรีคุมกระทรวงคมนาคม ก็อยากจะได้ประธาน กมธ.คมนาคม จากพรรคเพื่อไทย ไปดูแล ตรงนี้ต้องคุยกัน แต่ถ้าจะให้รื้อทั้ง 35 คณะคงไม่ถูกต้อง ตนเห็นว่าควรจะไปเติมเต็มในส่วนของ กมธ.ที่มีสมาชิกไม่ครบ 15 คนจะดีกว่า

ขณะที่ นายชินวรณ์ ได้ยืนยันว่า เรื่องนี้มีการหารือกันเป็นระยะๆ การจับสลากทั้ง 35 คณะ ก็เป็นข้อเสนอของทุกพรรคการเมือง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมไม่ใช่ใช้เสียงข้างมากลากไป โดยให้แต่ละพรรคไปเสนอชื่อเข้ามาในสภา ส่วนตำแหน่งประธานก็ให้ไปโหวตเอาเองในกมธ.

ขณะที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.การเงิน การคลัง และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ลุกขึ้นกล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะใช้การจับสลาก เพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด จะมาปลดตนจากตำแหน่งได้อย่างไร

ส่วน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย อดีตรองประธานสภา คนที่ 1 กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่ามี กมธ.อยู่ครบทุกคณะ และถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ตอนนี้มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล มีการยุบพรรค หากประธาน กมธ.คณะหนึ่งไม่ยอมลาออกจะทำอย่างไร และใครจะมาชี้ว่าเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ เพราะสภาไม่มีอำนาจในการวินิจฉัย แต่ถ้าต้องมีการเปลี่ยนตัวประธาน กมธ.ใหม่ ตรงนี้ถือเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตำแหน่งประธานสภา ด้วยหรือไม่ ตนเห็นว่า ไม่ควรจะเปลี่ยนตำแหน่งประธาน กมธ.โดยให้สองฝ่ายไปคุยกัน เพื่อให้ได้สัดส่วนลงตัว ถ้าจะมีการปรับเปลี่ยน กมธ.ทั้งหมด คงต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

อย่างไรก็ตาม หลังจากอภิปรายกันมากว่า 1 ชั่วโมง นายชัย ได้ตัดบทว่า เพื่อความสมานฉันท์และความปรองดองขอให้วิปทั้ง 2 ฝ่ายไปหารือกันและให้ได้บทสรุปภายในวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) ซึ่งตนจะคอยดูความสามารถของวิปทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้ นายวิทยา บุรณะศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน แย้งว่า คาดว่า จะเสร็จไม่ทันในวันพรุ่งนี้ แต่จะทำให้เสร็จสิ้นภายในสมัยประชุมนี้ ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวว่า หากจะเลื่อนไปอีก 1 สัปดาห์ก็รอได้เพราะรอมาแล้ว 3 เดือน ทำให้ นายชัย ย้ำว่า พรุ่งนี้ (30 เม.ย.) ค่อยมาว่ากัน แต่ตนอยากให้เสร็จไวๆ จะได้เริ่มทำงานกันได้

เอ็นจีโอติงรัฐอย่าปิดปาก ปชช.

เมื่อ วันที่ 29 เม.ย. ที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายพลเมืองเน็ต คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) คณะกรรม การรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ร่วมกันจัดงานเสวนา “วิพากษ์ผลกระทบกฎหมายและการเมือง ต่อสิทธิมนุษยชนพลเมืองเน็ต” โดยนายจอน อึ๊งภากรณ์ ผอ.โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน กล่าวว่า พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์มีปัญหาจำกัดสิทธิการแสดงความคิดเห็นหลายมาตรา เพราะมีความเข้าใจผิดว่าให้เจ้าของเว็บ ไซต์ต้องรับผิดชอบเนื้อหาที่โพสต์ในเว็บ โดยที่ไม่เข้าใจว่าเว็บไซต์เป็นเสรีภาพในการแสดงออก จึงต้อง แก้ไข พ.ร.บ. นี้ ส่วนการปิดเว็บไซต์นั้น ไทยไม่มีความ สามารถในเรื่องนี้เท่าไร ตนมองว่าเรื่องนี้เหมือนกับการไปตั้งเครื่องมือที่สนามบิน คอยตรวจจับว่าใครเป็น ไข้หวัดหมู ซึ่งมันไม่ได้ผลแต่รัฐบาลก็ยังทำ ขณะนี้ประชาชนกำลังถูกลูกหลงจากสงครามระหว่าง 2 ฝ่าย มันคือสัญลักษณ์ของบรรยากาศการเมืองที่ไม่ปกติ โดย สงครามนั้นหัวข้อใหญ่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวของสังคมไทย ไม่ว่ารัฐบาลพลังประชาชน หรือรัฐบาลประชาธิปัตย์พยายามจะบอกว่าเรากำลัง ปกป้องสถาบันอย่างมีประสิทธิภาพ

“วิธีที่จะทำให้ประเทศสงบได้และสถาบันยังอยู่ด้วยคือทุกฝ่ายต้องทำให้สถาบัน กษัตริย์อยู่เหนือ การเมืองจริง ไม่มีใครเอามาใช้เป็นเครื่องมือ ทั้งนี้ เราต้องแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 เรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้เป็นกลไกปกติของการดำเนินการ” นายจอน กล่าว

ด้าน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ตัวแทนเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า การปิดกั้นเว็บไซต์ เพิ่มขึ้นหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 กว่าร้อยละ 50 แม้ตาม พ.ร.บ. นี้ การปิดเว็บไซต์ต้องผ่านขั้นตอนของศาลก่อนแต่ช่วงประกาศกฎอัยการศึกยังมีการ ปิดเว็บไซต์ได้ จึงมีการถกเถียงว่าขัดต่อสิทธิเสรีภาพหรือไม่ ซึ่งกรณีทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ทั่วไปในเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพ จึงต้องแก้กฎหมายให้มีมาตรฐานและสิทธิเสรีภาพดีขึ้น.

'เพื่อไทย'เลิกงอแงส่งรายชื่อ กก.ปรองดองแล้ว

'ครูประทีป'ร่วมด้วยบัญญัติแนะยุบสภาหลังแก้ไข รธน.เสร็จ

"บัญญัติ"แสดงจุดยืนค้านแก้ รธน.ดักคอ กก.ปรองดอง มีแต่นักการเมืองหวั่นสังคมด่าทำเพื่อตัวเอง-เย้ยคำตัดสินศาล พร้อมแนะแก้เสร็จให้ “ยุบสภา” เลือกตั้งใหม่ ขณะที่ “เทพเทือก” ปฏิเสธอุตลุด “ปชป.” ไม่กระเพื่อม อ้างไม่มีคนขวางแนวคิดหัวหน้ามาร์ค ส่วน “อภิสิทธิ์” โยน “ปู่ชัย” แก้เกม “เพื่อไทย” ต่อรอง ด้าน “เพื่อไทย” เลิกงอแงส่งรายชื่อ “กก.ปรองดอง” แล้ว อ้าง “มาร์ค-ปู่ชัย” ยอมตั้ง “กก.สอบสลายเสื้อแดง” แย้มมีชื่อ “ครูประทีป” ด้วย ส่วนฝ่าย ก.ม. จุดพลุ “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” หาแนวร่วม ฟาก “สภาสูง” ขีดเส้นให้ ส.ว. ส่งชื่อภายในเที่ยงนี้ เล็งเลือก กก. สิทธิมนุษยชน 1 พ.ค. เผย 7 ว่าที่ “ดี-เด่น-ดัง”

“มาร์ค”โยน“ปู่ชัย”แก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคเพื่อไทยตั้งเงื่อนไขให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบ การสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง จากนั้นจึงจะยอมเสนอชื่อกรรมการแก้ไข ปัญหาทางการเมืองเพื่อความปรองดองและสมาน ฉันท์และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมติของที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายว่า วันที่วิป 3 ฝ่ายตกลงกันนั้น วิปฝ่ายค้านก็เข้าร่วมประชุมอยู่ด้วยจึงไม่ทราบว่าในส่วนของวิปฝ่ายค้านและ พรรคเพื่อไทยมีปัญหาอะไรกัน หากมีปัญหาก็อยากเสนอให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุม และรับฟังปัญหาข้อขัดข้อง

นายกฯ กล่าวต่อว่า เชื่อว่าขณะนี้ทุกคนต้องการให้มีเวทีที่ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมแก้ไขกันจริง ๆ และรัฐบาลไม่ได้มีการยื่นเงื่อนไขอะไรหรือมีปัญหา แต่เท่าที่ฟังการหารือในวันนั้นได้มีการตกลงกันเองว่าจะไม่มีการตั้งคณะกร รมาธิการฯ และยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีปัญหาและพร้อมให้ตรวจสอบติดตามได้ทุกเรื่อง

ยันทุกเงื่อนไขต้องเป็น “ปชต.”

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่พรรคเพื่อไทยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมแก้ไขปัญหาทางการ เมืองครั้งนี้ สอดคล้องกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประกาศที่จะต่อสู้ต่อไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ในวันที่มีการอภิปรายทั่วไปทางวิปและ ส.ส.หลายคนได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่จะต้องดำเนินการและตนคิดว่า สังคมต้องการให้ทุกคนทำเช่นกัน เพราะฉะนั้นประธานสภาจะต้องทำเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างเดินได้ วันนี้เราต้องเอาเป้าหมายของประเทศเป็นที่ตั้ง หากข้อเรียกร้องที่พูดกันมาตลอดเป็นเรื่องของประชาธิปไตยก็ไม่มีใครขัดข้อง ในเรื่องของหลักการจึงน่าจะมาทำงานร่วมกันได้ก็เป็นทางที่ดีที่สุด แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นก็แสดงว่าข้อเรียกร้องไม่ใช่ประชาธิปไตยและไม่ใช่เรื่อง ที่คนส่วนใหญ่สนับสนุน

“เทือก”ปัด“ชวน-หยัด”ค้าน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ เนื่องจากเกรงว่าจะนำไปสู่การนิรโทษ กรรมว่า ยืนยันว่าที่มีข่าวว่านายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และนายบัญญัติไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะในพรรคมีการประชุมระดมความคิดกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะมีความคิดที่หลากหลาย แต่เมื่อได้แสดงความคิดเห็นแล้ว ก็ได้ข้อสรุปว่าทุกคนเห็นว่าจะเดินตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัว หน้าพรรคเสนอต่อรัฐสภา และที่ประชุมพรรค วันที่ 28 เม.ย. ก็ได้ขอให้นายบัญญัติเป็นประธานคัดเลือกตัวแทนพรรค 8 คน ไปร่วมเป็นกรรมการตามมติวิป 3 ฝ่าย

หงุดหงิดคำถามข้ามหัวผู้ใหญ่

ต่อข้อถามว่า การที่มีเสียงท้วงติงจากผู้ใหญ่ในพรรค เพราะเกรงว่าหากปลดล็อกแล้ว อดีตกรรมการบริหารจะไปรวมตัวกันอีกครั้ง และ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกโดดเดี่ยว เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ปฏิเสธว่าไม่ได้ยินนายบัญญัติพูดถึงเรื่องนี้ เมื่อถามว่าสมาชิกพรรคบางคนไม่สบายใจกับการทำงานของนายกฯ ที่ดูเหมือนจะ ข้ามหัวผู้ใหญ่ในพรรค นายสุเทพ กล่าวด้วย น้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ถามแบบนี้ก็ไม่จบ ถ้าผมตอบขนาดนี้แล้วยังมีบางคนไม่สบายใจ ก็ไม่จบ”

เมื่อถามย้ำว่า มีข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์เตรียมวางตัวนายบัญญัติ ไปเป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เพื่อความปรองดองและสมานฉันท์และแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่ให้นายบัญญัติ เป็นประธานคัดเลือกตัวแทนพรรคไปร่วมเป็นกรรมการในชุดดังกล่าวเท่านั้น

“บัญญัติ”ย้ำจุดยืนไม่เห็นด้วย

ขณะที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้สัม ภาษณ์ถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนเข้าร่วมเป็นกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อความปรองดองและสมานฉันท์ และแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะเคยคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่รู้สึกเป็นห่วงองค์ประกอบของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น เพราะมีแต่ฝ่ายการเมือง จะมองได้ว่าไปครอบงำการตัดสินของคณะกรรมการฯ

ส่วนประเด็นเรื่องการนิรโทษกรรมคดีการเมืองนั้น กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถือว่าเปราะบาง จึงได้ฝากผู้ที่จะเข้าร่วมเป็นกรรมการว่าต้องระมัดระวังด้วย เราไม่ต้องการจะกีดกันใคร หรือกลัวว่าใครจะกลับเข้ามาแล้วจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีปัญหา เพราะมีคนดี ๆ เยอะ แม้จะมี ส.ส.บางส่วนรู้สึกกังวลในหลายเรื่อง แต่ถือเป็นเรื่องปกติ

หวั่นสังคมวิพากษ์ไม่เคารพศาล

นายบัญญัติ กล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าคนข้างนอกจะวิจารณ์ได้ว่าเป็นการไม่เคารพ กฎหมายหรือไม่ เพราะทุกคนรู้มาก่อนแล้วว่ามีกฎหมายห้ามเอาไว้แต่ก็ไปทำผิด แล้วจะมาแก้กฎหมายก็จะเป็นปัญหาได้ และคนอาจมองได้ว่าไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เพราะศาลรัฐธรรมนูญซึ่งสูงกว่าศาลธรรมดาทั่วไปได้วินิจฉัยแล้ว ดังนั้นหลักใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์คือ หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแก้ไขเฉพาะในบทมาตราที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ถ้าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวนักการเมืองก็ควรเป็นเรื่องที่กระทบต่อระบบ ของนักการเมืองโดยรวม ไม่ใช่เป็นกลุ่มนักการเมือง ส่วนเรื่องยุบพรรคการเมือง หากจะแก้ไขปัญหาการทุจริตเลือกตั้ง พรรคการเมืองต้องมีธรรมาภิบาล ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ถ้าจะทำให้ยาแรงอ่อนลงก็ต้องช่วยคิดหามาตร การอื่นที่จะป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียงด้วย

แนะยุบสภาหลังแก้“รธน.”เสร็จ

นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า นายกฯ ทำถูกแล้วที่ต้องหยิบรัฐธรรมนูญขึ้นมาดูว่าเป็นปัญหาตามที่หลายฝ่ายพูดจริง หรือไม่ แต่คณะกรรมการฯ ต้องทำให้สังคมข้างนอกเข้าใจว่านักการเมืองไม่ได้สมานฉันท์กันเอง มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องอันตราย ต้องระวังว่านักการเมืองแก้รัฐธรรมนูญ โดยนักการเมือง เพื่อประโยชน์ของนักการเมือง

นายบัญญัติ กล่าวด้วยว่า อยากเสนอให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการ คือ 1.ตั้งคณะอนุกรรมการในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ สร้างความเข้าใจในค่านิยมประชาธิปไตยที่ถูกต้องให้กับประชาชน 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรดูมาตราที่กระทบต่อประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่เรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของนักการเมืองล้วน ๆ 3.ขอให้ประชาชนมีส่วนร่วมจริง ๆ และ 4.ต้องรับฟังความเห็นของประชาชน เมื่อแก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว โดยที่ทุกภาคส่วนเห็นด้วย หากบรรยากาศทางการเมืองไม่มีอะไรติดขัดก็ควรจะมีการยุบสภาแล้วให้มีการเลือก ตั้งใหม่

มท.1 ไม่ขวาง“เหนาะ”นั่ง ปธ.

ที่กระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีมีผู้เสนอให้นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อความปรองดองและสมานฉันท์ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยว่า ยังไม่รู้รายละเอียด แต่เห็นว่านายเสนาะเป็นนักการเมืองเก่า มีคุณสมบัติโดดเด่น ผ่านชีวิตการเมืองมานาน คงจะรู้ประวัติการเมืองไทยเป็นอย่างไรมาบ้าง ขณะเดียวกันควรให้มีคณะบุคคลทางวิชาการเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมาย เข้ามาร่วมให้ความคิดเห็นจะใช้ประสบการณ์อย่างเดียวคงไม่พอ อย่างไรก็ตามคิดว่านายเสนาะก็คงเป็นได้ เพราะมีบารมี ทั้งนี้ใครมีความเหมาะสมที่จะมาเป็นตัวกลางในการแก้ไขก็กำลังมองอยู่

เมื่อถามว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์พรรคภูมิใจไทยไม่เสนอเรื่องนิรโทษกรรม เพราะกลัวจะถูกโจมตี จึงต้องการให้พรรคชาติไทยพัฒนาเสนอแทน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ส่วนจะต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้นคงต้องฟังพรรค ประชาธิปัตย์ว่าอย่างไรแล้วค่อยมาพิจารณา

วิปรัฐบาลอัดฝ่ายค้านเลิกป่วน

ที่รัฐสภา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยภายหลังการประชุมวิปรัฐบาลว่า วิปพรรคร่วมรัฐบาลได้นำรายชื่อผู้จะร่วมเป็นกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เพื่อความปรองดองและสมานฉันท์และแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเสนอแล้ว ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิที่พรรคร่วมรัฐบาลและวุฒิสภาจะเสนอมานั้น ตนรับเป็นผู้ตรวจสอบรายชื่อเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการทาบทามตัวบุคคลและเสนอรายชื่อให้ประธานรัฐสภา ทำการแต่งตั้งต่อไป

เมื่อถามว่า โฆษกพรรคเพื่อไทยยืนยันให้ตั้ง กมธ.วิสามัญตรวจสอบเหตุการสลายการชุมนุมก่อนจึงจะเสนอรายชื่อคณะกรรมการฯ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ในวันประชุมวิป 3 ฝ่าย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอว่าไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการสลายการชุมนุมโดยให้ เหตุผลว่าขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกันอย่างกว้างขวางแล้ว จึงขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยส่งรายชื่อภายในวันที่ 29 เม.ย. หากไม่ยอมเสนอมา วิปของพรรคเพื่อไทยที่เป็น ส.ส. จะต้องรับผิดชอบ

“พท.”ลั่นต้องยื่นหมูยื่นแมว

ด้านนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีมติเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการสลายการชุมนุม เสื้อแดง โดยจะขอใช้เวทีของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 30 เม.ย. เพื่อให้ตั้ง กมธ. วิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อน ส่วนการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เพื่อความปรองดองและสมานฉันท์ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคยังคงสนับสนุนแนวทางดังกล่าว และได้เตรียมรายชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจะส่งรายชื่อต่อประธาน หลังการตั้ง กมธ.

นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ประเด็นที่พรรคเพื่อไทยต้องการให้มีการแก้ไข ดังนี้ 1.แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ 2.ประเด็นการเลือกตั้ง ที่มาของ ส.ว. ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 3.การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 4.การทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ 5.อำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระที่ยังไม่มีความชัดเจนโดยเฉพาะอำนาจหน้าที่ของ ศาล นอกจากนี้จะขอแก้ไขมาตรา 171 โดยให้เพิ่มข้อห้าม ไม่ให้ ครม.ดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปีด้วย รวมไปถึงการบรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ อย่างไรก็ตามในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์ไม่มีการขอแก้ไข

ยอมถอยอ้าง “มาร์ค” ไฟเขียว

นายวิทยา ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า พรรคเพื่อไทยจะขอให้ประธานรัฐสภาใช้อำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการสลาย การชุมนุมระหว่างวันที่ 8-15 เม.ย. เช่นเดียวกับการตั้ง คณะกรรมการแก้ปัญหาทางการเมืองเพื่อความปรองดองและสมานฉันท์และแก้ไข รัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และ นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้เห็นชอบ เรียบร้อยแล้ว แต่นายชัยต้องการให้เรื่องนี้เป็นมติของที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายก่อน เรื่องนี้จึงไม่มีปัญหาอะไรและจบลงด้วยดี ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยื่นญัตติขอตั้ง กมธ.วิสามัญในเรื่องดังกล่าวอีกแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า รายชื่อคณะกรรมการตรวจสอบการสลายกลุ่มเสื้อแดงที่พรรคเพื่อไทยเตรียมเสนอ ได้แก่ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ประธาน คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการสลายการ ชุมนุมของพรรคเพื่อไทย นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ แกนนำ นปช.รุ่น 2 และ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย

เผย 12 รายชื่อสัดส่วน “เพื่อไทย”

ข่าวแจ้งว่า นายวิทยาได้ส่งรายชื่อกรรมการแก้ปัญหาทางการเมืองฯ ในสัดส่วนพรรคเพื่อไทยทั้ง 12 คนแล้ว ประกอบด้วย 1.นายวิทยา บุรณศิริ 2.นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา 3.นายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส.ชัยภูมิ 4.นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร 5.นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส. นครพนม 6.นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน 7.นายนพคุณ รัฐผไท ส.ส.เชียงใหม่ 8.นายภาวิช ทองโรจน์ นายกสภาเภสัชกรรม 9.นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต 10.นายประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 11.นายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. และ 12.นายประยุทธ์ ศิริพานิช ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย

สภาสูงให้ ส.ว. สมัครเป็นตัวแทน

บ่ายวันเดียวกัน ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ว. และคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) โดยมีนายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 เป็นประธานการประชุมเพื่อเลือกตัวแทน ส.ว. 7 คน และเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน ไปเป็นคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อความปรองดองและสมานฉันท์และ แก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังจากที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิ สภา สั่งยกเลิกรายชื่อ 7 ส.ว. ที่วิปวุฒิเตรียมเสนอไปยังประธานรัฐสภา

นายนิคม เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติให้ ส.ว. ที่ต้องการเป็นตัวแทนของวุฒิสภา ให้สมัครได้ที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาภายในวันที่ 30 เม.ย. เวลา 12.00 น. นอกจากนี้ส.ว.สามารถเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน โดยจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวภายในวัน เดียวกัน จากนั้นจะมีการลงคะแนนในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 1 พ.ค. ทั้งนี้จะเสนอให้ตัดคำว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ออกจากชื่อคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพื่อไม่ให้สังคมรู้สึกว่ามีการตั้งธง

7 ว่าที่ “กสม.” แสดงวิสัยทัศน์

ขณะเดียวกัน ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรง ตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยมีนายธีระจิตต์ สถิโรตมวงศ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 7 คนได้เข้าชี้แจงข้อกล่าวหา รวมทั้งเปิดให้แสดงวิสัยทัศน์คนละไม่เกิน 5 นาที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแสดงวิสัยทัศน์ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อได้ชี้แจงถึงประสบการณ์ในการ ทำงาน ที่มีความเกี่ยวข้องกับงานด้านสิทธิมนุษยชน เหตุผลที่สนใจในงานด้านสิทธิมนุษยชน และต้องการเข้ามาดูแลงานด้านการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขณะที่ กมธ.ฯ ได้ให้แต่ละคนได้แสดงทรรศนะในเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษย ชน อาทิ การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 เหตุการณ์ที่กรือ ซะและตากใบ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คดีนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นต้น

ดีเดย์ 1 พ.ค. วุฒิสภาลงมติเลือก

นายธีระจิตต์ กล่าวว่า เท่าที่รับฟังการแสดงวิสัยทัศน์ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อมีคุณวุฒิและประสบการณ์ในการทำงานมากมาย ถ้ามีความตั้งใจก็คงทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ส.ว.ได้ติงผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อบางคนไม่เคยเกี่ยวข้องกับงานด้านสิทธิ มนุษยชนมาก่อน อาจทำให้เลือก กสม. ไม่ครบ 7 คนนั้น ตนเห็นว่า อย่าทึกทักเช่นนั้น เพราะคณะกรรมาธิการสรรหายืนยันได้พิจารณาคุณสมบัติมาอย่างดีแล้ว ดังนั้นก็อยู่ที่ดุลพินิจของสมาชิก โดยวันที่ 30 เม.ย. กมธ.ฯ จะประชุมสรุปและจัดทำรายงานเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภาในวันที่ 1 พ.ค.

สำหรับผู้ได้รับการเสนอชื่อทั้ง 7 คน ประกอบด้วย 1.นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ 2.นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีต ส.ว.อุบลราชธานี 3.นายปริญญา ศิริสารการ อดีต สสร. 4.นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ 5.พล.ต.อ.วันชัย ศรีนวลนัด ที่ปรึกษา (สบ 10) 6.นางวิสา เบ็ญจะมโน ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ 7.นางอมรา พงศาพิชญ์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

'มาร์ค'เชื่อต่างชาติไม่หูเบา

หลงคารม'แม้ว'ลุ้น'สนธิ'เปิดใจนาทีเฉียดตาย!

"มาร์ค"งัดไม้แข็ง ขู่เล่นงานเด็ดขาด ใครคิดเคลื่อนไหวนอกกรอบ มั่นใจต่างชาติไม่หูเบาหลงคารม“ทักษิณ” ร่อนแถลงการณ์ “เตีย บันห์” อ้าง อดีตนายกฯ ไทย ไม่ได้กบดานฝั่งเขมร “เทพเทือก” เมินม็อบเสื้อแดง เหน็บเลิกสนใจแล้ว ขอเดินหน้าจัดงานวันฉัตรมงคล “5 พ.ค.” เชิญชวนชาวไทยร่วมเฉลิมพระเกียรติ “ชวรัตน์” เชื่อคนมาไม่ต่ำกว่า 3 แสน “สมาคมนักข่าวฯ” จัดทำปฏิญญาประชาชน รณรงค์หยุดทำร้ายประเทศ ขณะที่สภาพัฒน์ ระบุ “จลาจลสงกรานต์” รายได้ท่องเที่ยวเจ๊งนับแสนล้าน “จตุพร” เดือดเจอท้าแสดงความกล้ามอบตัว โต้ทันควันนายกฯยังใช้เอกสิทธิ์ได้ ส่วนแกนนำ นปช.นัดชุมนุมที่ลพบุรี ลุ้นระทึก “สนธิ” เปิดใจนาทีเฉียดตาย แนวโน้มจะบินออกนอกประเทศ ไปปลีกวิเวกชมพูทวีป อ้างไม่หนีแต่พลิกเกมต่อสู้เท่านั้น ส่วนคดีทหารเกณฑ์ดับ “บิ๊กกลาโหม” ยันให้เป็นไปตามกฎหมาย “ธานี” รับหน้าเสื่อไขปมปริศนาอีก

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 29 เม.ย. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสครบรอบปีที่ 60 แห่งการบรมราชาภิเษกว่า ในช่วง 2-3 วันนี้ขอเชิญชวนประชาชนให้เตรียมตัวไปร่วมงานดังกล่าวที่จะจัดขึ้นพร้อมกัน ที่ศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศในช่วงเวลา 17.00-24.00 น. ส่วนที่กรุงเทพมหานครนั้นจัดกิจกรรมวันที่ 5 พ.ค.ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ถนนราชดำเนินไปจนถึงท้องสนามหลวง การจัดกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่คนไทยจะได้แสดงความจงรักภักดีซึ่งเป็น ศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัย นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่มีใครจะมาก่อความวุ่นวายทำอันตรายใครหรือก่อเหตุใดๆ อย่างไรก็ตามเพื่อความไม่ประมาทก็มอบหมายให้ทางตำรวจเป็นกำลังหลักในการดูแล รักษาความ ปลอดภัย และสามารถขอกำลังจากทหารมาเพิ่มได้ตลอดเวลา

“สุเทพ”ไม่สนเสื้อแดงรวมตัว

นอกจากนี้นายสุเทพ ยังให้สัมภาษณ์ถึงข้อคิดเห็นของเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุ ว่า การออกพ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะน่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยปฏิเสธที่จะตอบคำถามโดยกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า วันนี้ขอพูดเรื่องการจัดงานในวันที่ 5 พ.ค.อย่างเดียวดีกว่า ส่วนเรื่องอื่น ๆ เก็บไว้ก่อน เพราะถือว่างานนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกเรื่อง ผู้สื่อข่าวถามว่าในสัปดาห์หน้ากลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่จะส่งผลกระทบ ต่อการจัดงานในวันที่ 5 พ.ค. หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า “ผมยิ่งไม่สนใจใหญ่เลย เพราะต้องการเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมงานในวันที่ 5 พ.ค. เท่านั้น”

นายกฯขู่อย่าเล่นนอกเกม

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯยังเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลว่า คิดว่าต่างประเทศเขาเข้าใจเราพอสมควรและเราก็พร้อมให้ความจริงกับนานาประเทศ ต่อไป เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับแถลงการณ์ที่จะต่อสู้ต่อไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ นายกฯตอบว่า ตนเห็นว่าไม่ค่อยสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา อย่างที่บอกว่ายังมีคนเคลื่อนไหวต่อไปมันมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพ.ต.ท.ทักษิณ หรือนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำนปช.ก็บอกว่าจะเคลื่อนไหวต่อไปแต่คนหนึ่งบอกว่าจะบอกว่าสันติอีกคนบอก ว่าจะจับอาวุธ ยืนยันว่าการเคลื่อนไหวใดที่เคลื่อนไหวโดยสงบและสันติก็สามารถดำเนินการได้ แต่ถ้าการเคลื่อนไหวใดอยู่นอกกรอบนี้รัฐบาลก็ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและ ตนเชื่อว่าสังคมจะสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเด็ดขาด

ขอประเมินก่อนลงพื้นที่ตจว.

ต่อข้อถามว่าประเมินการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงอีกครั้งในสัปดาห์หน้า อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็เพิ่งทราบว่ามีการนัดการชุมนุมเดิมที่ทราบว่าจะไปชุมนุมในพื้นที่ต่าง จังหวัดก่อน แต่รัฐบาลก็จะติดตามและประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เมื่อถามอีกว่าการที่แกนนำนปช. ที่เพิ่งได้รับการประกันตัวแล้วจะไปร่วมเคลื่อนไหวด้วยจะมีปัญหาหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า เขาจะต้องไม่ทำอะไรที่ผิดเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนช่วงปิดสมัยประชุมสภาจะลง พื้นที่พบปะประชาชนหรือไม่นั้นยังมีเวลาอีก 1 เดือน แล้วค่อยประเมินอีกครั้ง

“เทพไท”อัด“แม้ว”บิดเบือน

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แถลงการณ์เรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยสันติวิธีว่า อยากถามว่าความหมายของคำว่า “สันติวิธี” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คืออะไร หรือคือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยประกาศต่อสู้เคลื่อนไหวใต้ดิน การประกาศว่านายกฯและรัฐบาลลงพื้นที่จะมีการไล่ล่าตัวหรือการที่นายจักรภพ ประกาศจับอาวุธขึ้นสู้กับอำนาจรัฐนั่นหรือคือแนวทางสันติวิธี นอกจากนี้ยังมีหลายประเด็นที่คลาดเคลื่อน ขณะนี้ตนได้ให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ รวบรวมการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 6-13 เม.ย. ซึ่งมีการโฟนอินมากกว่า 10 ครั้ง จากการแกะเทปสรุปเบื้องต้นเห็นได้ว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายกว่า 56 ประเด็น

“มท.1”โยนไม่เกี่ยวเสื้อน้ำเงิน

ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว. มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่ถูกพรรคเพื่อไทยแจ้งความดำเนินคดี รวมถึงนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย นายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยว่าอยู่เบื้องหลังกลุ่มเสื้อน้ำเงินที่ก่อ ความรุนแรงว่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน รวมทั้งนายบุญจง นายเนวิน หรือนาย สุเทพ รองนายกฯก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งตนพร้อมจะชี้แจงในทุกข้อกล่าวหาไม่หนักใจกับข่าวที่ออกมา สำหรับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงสัปดาห์หน้าให้เป็นเรื่องของตำรวจเพราะมี ประสบการณ์อยู่แล้ว ส่วนกรณีที่กระทรวงมหาดไทยจัดงานในวันที่ 5 พ.ค.นี้เพื่อแสดงความจงรักภักดีปกป้องสถาบันเพราะเป็นวันฉัตรมงคล ตนเชื่อว่าจะมีคนมาชุมนุมมากถึง 300,000 คน

“เตีย บันห์” ปัดให้พาสปอร์ต

ขณะเดียวกัน พล.อ.เตียบันห์ รองนายกฯ และรมว.กลาโหมกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกฯไทยได้รับพาสปอร์ตจากประเทศกัมพูชาในการหลบหนีเข้าประเทศว่า ไม่มีกัมพูชาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ได้หลบเข้ามาอยู่บริเวณเกาะกง พล.อ. เตีย บันห์ กล่าวว่า ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นเกาะกงหรือเกาะอื่น ๆ ของกัมพูชาก็ไม่มี เพราะพ.ต.ท. ทักษิณ ไม่เคยเข้ามาในบริเวณประเทศกัมพูชา เมื่อถามถึงกรณีที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ มีปัญหาขัดแย้งกับสมเด็จฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้มีการทำความเข้าใจหรือยัง พล.อ.เตีย บันห์ แสดงสีหน้าไม่สบายใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องมันแล้วไปแล้ว ไม่มีอะไร”

ท้า “จตุพร” แสดงความกล้า

ส่วนที่รัฐสภา ภายหลังการประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 30 เม.ย.นี้วิปรัฐบาลได้รับการประสานงานจากวิปฝ่ายค้านที่จะขอเลื่อน ระเบียบวาระที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอตัวนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ไปดำเนินคดีอาญาในคดีที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงสร้างความวุ่นวาย กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นมาพิจารณา ก่อน ซึ่งวิปรัฐบาลเห็นว่าฝ่ายค้านเองควรต้องเป็นผู้เสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุม สภาเอง ส่วนที่ประชุมสภาจะพิจารณาอย่างไรก็แล้วแต่ ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียง 3 สัปดาห์ก็จะปิดสมัยประชุมแล้วจึงเป็นเรื่องที่นายจตุพร จะต้องมาแสดงเหตุผล

“ตู่”โต้นายกฯยังใช้เอกสิทธิ์

ส่วนนายจตุพร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะ 1 ในแกนนำคนเสื้อแดงให้สัมภาษณ์ ก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงกรณีตำรวจทำหนังสือขอตัวไปดำเนินคดี ว่า วันนี้ตนไม่ได้กลัวอะไรเพราะตำแหน่ง ส.ส.ใช้ประกันตัวได้อยู่แล้ว จึงจะขอให้พรรคประชาธิปัตย์ยกมือให้เอาตนไปดำเนินคดีเลยและพรรคฝ่ายค้านไม่ ต้องช่วยตน เนื่องจากต้องการให้มีมาตรฐานว่าวันที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมเป็น เสียงข้างน้อยเมื่อมีกรณีอย่างเดียวกับตนสภาก็จะอนุมัติไปดำเนินคดี โดยตนต้องการพิสูจน์รัฐธรรมนูญว่าทำไมนายอภิสิทธิ์ นายกฯ และ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองตาม ม.131 ได้แต่ทำไมตนใช้ไม่ได้

ฉุนตร.ใช้มาตรฐานอะไร

นายจตุพร กล่าวต่อว่า มันมีอะไรดีกว่าผม เงินเดือน ส.ส.ก็เท่ากัน และคนอย่างผมเหรอจะขอความกรุณาพรรคประชาธิปัตย์ ชาติหน้าเถอะ ส่วนกรณีนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำพันธมิตรฯและพวกข้อเท็จจริงคือคนเหล่านั้นรอจน กระทั่งยื่นอุทธรณ์เพิกถอนหมายจับในคดีบุกรุกทำเนียบและการเป็นกบฏ เมื่อเอาคดีกบฏออกเหลือคดีบุกรุกทำเนียบ ส่วนคดีที่เหลือก็เหมือนกับที่พวกตนเจอ ปรากฏว่าตำรวจสน.นางเลิ้ง ให้ประกันตัวโดยไม่มีเงื่อนไขอะไร เมื่อได้รับการประกันตัวก็ไปเคลื่อนไหวในสถานที่ตัวเองบุกยึด นี่เหรอกระบวนการยุติธรรม ผมบอกว่าตำรวจใช้มาตรฐานอะไรคิดว่าปิดปากด้วยหมายจับแล้วทุกคนจะหยุดหรือ

สศช.เผยภาครัฐเจ๊ง 220 ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชุมครม.เศรษฐกิจ ได้รับทราบรายงานการประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ระหว่างวันที่ 8-14 เมษายน 2552 ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ โดยสรุปว่าบริการสาธารณะของรัฐได้รับความเสียหาย อาทิ ความเสียหายต่อทรัพย์สินและการสูญเสียรายได้ของรถโดยสารประจำทางประมาณ 76 ล้านบาท การสูญเสียรายได้ของการให้บริการรถไฟประมาณ 12 ล้านบาท การสูญเสียรายได้จากการให้บริการทางด่วนประมาณ 3 ล้านบาท การสูญเสียรายได้จากการยกเลิกเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารทางอากาศประมาณ 10 ล้านบาท ความเสียหายต่อทรัพย์สินและการสูญเสียรายได้ของรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการ ไฟฟ้าประมาณ 118 ล้านบาทและความเสียหายต่อทรัพย์สินของบริษัททีโอทีประมาณ 1.19 แสนบาท รวมมูลค่ากว่า 220 ล้านบาท

รายได้ท่องเที่ยวลดแสนล้าน

นอกจากนั้นยังคาดว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องในภาคการท่องเที่ยวของ ประเทศโดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2552 จะลดลงประมาณ 877,474 คน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 และคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2552 จะลดลงประมาณ 102,385 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 ซึ่งรัฐบาลจะได้กำหนดมาตรการบรรเทาปัญหาและเร่งรัดการสร้างภาพลักษณ์และความ เชื่อมั่นกับต่างประเทศต่อไป

รณรงค์หยุดทำร้ายประเทศ

ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ เปิดเผยว่า เนื่องจากเครือข่าย หยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรงได้จัดทำโครงการรณรงค์หยุดทำร้ายประเทศไทย ได้จัดทำปฏิญญาประชาชน “ไม่ทำร้ายประเทศไทย ไม่ใช้ความรุนแรง” ในวันจันทร์ ที่ 4 พ.ค. ณ บริเวณอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 (ด้านหน้าสวนลุมพินี) ซึ่งจะเดินรณรงค์ไปตามถนนย่านสีลม โดยได้นัดหมายให้ประชาชนที่เห็นด้วยกับแนวทางของเครือข่ายฯ มาพร้อมกันตั้งแต่เวลา 08.00-10.00 น. เพื่อเผยแพร่ปฏิญญาประชาชนให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ด้วย

จัดทำปฏิญญาประชาชน

สืบเนื่องจากจากประชาชนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของชาติมีความเห็นพ้องต้องกันว่า ความขัดแย้งแบ่งฝ่าย แบ่งสีที่เกิดขึ้นอันนำไปสู่ความรุนแรงที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ภาพลักษณ์ของชาติในทางระหว่าง ประเทศ ทั้งยังเป็นเหตุสำคัญที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจซึ่งมีปัญหาจากเศรษฐกิจโลกอยู่แล้ว ให้ทรุดหนักลงไปอีก นอกจากนั้นความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองนี้ก็ยังสร้างรอยร้าวทางสังคมลึกลง ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ จนถึงในครอบครัวหากปล่อยให้เหตุการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ สังคมไทยก็จะแตก เป็นเสี่ยง ทั้งยังอาจเกิดสงครามกลางเมืองที่คนไทยลงมือเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองนำความ พ่ายแพ้ สูญเสียยับเยินมาสู่คนไทยทุกคนทั้งชาติ ดังนั้นจึงได้ร่วมกันประกาศปฏิญญาประชาชน “ไม่ทำร้ายประเทศไทย ไม่ใช้ความรุนแรง”

วอนร่วมลงชื่อสนับสนุน

โดยมีข้อเรียกร้อง 8 ข้อ อาทิ ให้ทุก ฝ่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย หยุดใช้ความรุนแรง ทั้งทางกาย ทางวาจา, ให้คู่กรณีที่ขัดแย้งกันหาทางออกความขัดแย้งนี้โดยสันติวิธี, ให้ยุติการจาบจ้วงสถาบัน ยุติการใช้สถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตน, ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทำหน้าที่ของตนเองตามกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปด้วยความเสมอภาคไม่เลือกปฏิบัติมีมาตรฐานเดียว , ให้สื่อมวลชนรักษาจรรยาบรรณ ละเว้นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่สร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในหมู่ ประชาชนด้วยกันเอง และขอให้ประชาชนทุกคนซึ่งมีความรักชาติที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ลงชื่อผู้ สนับสนุนส่งไปยังบุคคลทุกฝ่ายที่กำลังขัดแย้งกัน

“ธานี”คุมคดีทหารเกณฑ์ดับ

ขณะเดียวกันกรณีการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ เครือสุข ภายในบ้านพักของพล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ที่ยังจบไม่ลงนั้นจนทางนายสุเทพ รองนายกฯ สั่งการให้พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้ให้ได้ความจริง ความคืบหน้าเรื่องนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ได้มอบหมาย ให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. (ปป2) พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ปป2) ซึ่งรับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล ไปควบคุมติดตามคดีการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ หลังจากที่หลายฝ่ายยังเกิดข้อกังขาว่าสาเหตุการเสียชีวิตนั้นมาจาก อุบัติเหตุหรือถูกฆาตกรรม โดยการสืบสวนหาข้อเท็จจริงให้ทาง บช.น. ประสานงานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ กับสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ และกอง พิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ฝ่ายค้านหยิบยกประเด็นพลทหารเสียชีวิตในบ้านพักรับรอง แม่ทัพภาคที่ 1 ว่า ทุกอย่างต้องทำตามกฎหมาย ซึ่งต้องสืบสวนสอบสวนกันไป ไม่มีปัญหาอะไร ต้องว่ากันตามกฎหมาย

เลื่อนสั่งคดี “จักรภพ-สนธิ”

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิ เษก นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมด้วยนายธำรงศักดิ์ หงษ์ขุนทด เลขานุการ แถลงความคืบหน้าคดีนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ผู้ต้องหา คดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษมีถ้อยคำเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 50 ว่า อัยการนัดฟังการสั่งคดีวันนี้ แต่ผู้ต้องหาได้ส่งทนายความขอเลื่อนนัดอ้างว่าติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ ซึ่งอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าคดียังอยู่ระหว่างการสั่งคดี ทั้งผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมและคณะทำงานอัยการเองได้สั่ง ให้พนักงานสอบสวนไปสอบเพิ่มเติมบางประเด็นเกี่ยวกับการแปลภาษาจาก มหาวิทยาลัย 2 แห่ง จึงอนุญาตให้เลื่อนฟังการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 15 มิ.ย.นี้เวลา 10.00 น.

ส่วนคดีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พันธมิตรฯ ผู้ต้องหาฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีนำคำปราศรัยจาบจ้วงสถาบันของนางดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือดา ตอร์ปิโด มาเผยแพร่ซ้ำบนเวทีพันธมิตรฯ อัยการได้เลื่อนนัดสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 30 มิ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. เนื่องจากนายสนธิ อยู่ระหว่างพักรักษาตัวหลังถูกลอบยิง

“สนธิ”เปิดใจเหตุลอบสังหาร

ขณะที่นายไพศาล มังกรไชยา ผู้ดำเนินรายการวิทยุ “ข่าวเด่นประเด็นร้อน” ทางสถานีวิทยุคลื่นความคิด FM.96.5 MHz อสมท ได้กล่าวทางรายการช่วงหัวค่ำ (วันที่ 28 เม.ย.) ที่ผ่านมา ถึงเรื่องการที่นายสนธิ แกนนำพันธ มิตรฯ เตรียมจะเปิดแถลงข่าวเบื้องหลังการถูกลอบสังหาร ในเวลา 12.30 น. วันที่ 1 พ.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ว่า ผู้ใกล้ชิดนายสนธิ ได้ บอกเล่าให้นายไพศาลฟังว่า นายสนธิ อาจเปิดใจได้ไม่มากเพราะจะเปิดเผยว่าเป็นฝีมือใครก็คงยังไม่ได้ เพียงแต่จะเล่าเหตุการณ์วันที่โดนลอบสังหารเท่านั้นว่า เหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร ส่วนจะพูดเบื้องหลังคนสั่งการให้ลอบสังหารก็พูดไม่ได้ว่ามีสีหรือไม่มีสี แม้แต่เปิดเผยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็คงพูดไม่ได้

จ่อบินปลีกวิเวกชมพูทวีป

นายไพศาล อ้างจากคำพูดผู้ใกล้ชิดนายสนธิต่อว่า ทั้งนี้การแถลงข่าวของนายสนธิ อาจเป็นการพูดเปิดใจครั้งสำคัญที่จะเชื่อมโยงไปถึงท่าทีความเคลื่อนไหวของ พันธมิตรฯเสื้อเหลืองในระยะต่อไป และอาจมีความเป็นไปได้ว่า จะเป็นการเปิดใจครั้งสำคัญก่อนประเมินสถานการณ์ครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ปลีกวิเวกซึ่งคราวนี้อาจไม่ใช่แค่ไปวัดป่าบ้านตาด อุดรธานี เท่านั้น แต่คงเดินทางไปต่างประเทศส่วนจะไปสั้นหรือยาวก็แล้วแต่การตัดสินใจ แต่เท่าที่ทราบอาจเดินทางไปจาริกแสวงบุญตามรอยพระพุทธเจ้าที่ประเทศเนปาล และอินเดีย แล้วก็อาจไปพำนักต่างประเทศในประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นระยะเวลาค่อนข้าง ยาวนาน

ชี้ไม่ได้ถอยแต่พลิกเกมสู้

อย่างไรก็ตาม นายไพศาลกล่าวว่า การที่นายสนธิ จะไปอยู่ต่างประเทศนานคงไม่มีผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพัน ธมิตรฯ เพราะแม้นายสนธิ จะไปอยู่ต่างประเทศที่ไหนก็สามารถวิดีโอลิงก์เข้ามาได้แบบเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ การเดินทางไปครั้งนี้นายสนธิ ต้องตัดสินใจต่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าพอสมควร เพราะคงต้องคิดด้วยว่าคนที่เจอเหตุ การณ์หนัก ๆ มาแบบนี้แม้จะมีความแข็งแกร่งปานใด ก็อาจทบทวนความเคลื่อนไหว ซึ่งไม่ใช่การถอย แต่เป็นการพลิกแพลงการต่อสู้

พฐ.เร่งตรวจสอบปืนอาก้า

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สุพล พินิจชอบ ผบก.พฐ. กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบวิถีกระสุนเพื่อคลี่คลายคดียิงนายสนธิ แกนนำพันธมิตรฯว่า ขณะนี้ตำรวจทุกพื้นที่ที่พบอาวุธปืนต้องสงสัยได้ทยอยส่งมาตรวจพิสูจน์เปรียบ เทียบกับรอยกระสุนบนรถของนายสนธิ ตามคำสั่งของ พล.ต.อ.ธานี รอง ผบ.ตร. ล่าสุดมีการส่งอาวุธปืนอาก้ามาให้กองพิสูจน์หลักฐาน ตรวจสอบ 3 กระบอกมาจากพื้นที่จ.ลพบุรี ระยอง และอุบลราชธานี สำหรับการตรวจสอบวิถีกระสุนในที่เกิดเหตุและวิถีกระสุนจากรถยนต์ของนายสนธิ ตอนนี้ตรวจไปได้ 90% เกือบเสร็จสิ้นแล้ว หากไม่มีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมทางกองพิสูจน์หลักฐานก็พร้อมที่จะส่งข้อมูล ทั้งหมดให้ พล.ต.อ.ธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายต่อไป

แกนนำนปช.ลั่นชุมนุมสันติวิธี

ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ห้องเพทาย โรงแรมรัตนโกสินทร์ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นพ.เหวง โตจิราการ พร้อม ด้วยนายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) และพวกร่วมกันจัดแถลงข่าวแนวทางการเคลื่อนไหวต่อไปของกลุ่ม นปช. ยืนยันว่าจะยังคงร่วมมือกับเครือข่ายประชาชนทุกสาขาอาชีพจัดการชุมนุมด้วย สันติวิธีเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนการผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะ กรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) นอกจากนี้ยังขอให้รัฐบาลยุติการกระทำ ที่เป็นสองมาตรฐาน และขอให้คืนอุปกรณ์ทรัพย์สินของสถานีดีสเตชั่น วิทยุชุมชน โดยไม่มีเงื่อนไข

อย่างไรก็ดีทางแกนนำ นปช.ได้แจ้งงดการชุมนุมสัญจรใน จ.อุดรธานี วันที่ 2 พ.ค.นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการแทรกแซงและการเผชิญหน้า แต่จะนัดชุมนุมใหญ่ในวันเสาร์ที่ 9 พ.ค. บริเวณวงเวียนพระนารายณ์ จ.ลพบุรี ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การแถลงข่าววันนี้ทางแกนนำนปช. ยังได้เปิดวิดีโอที่สามารถบันทึกภาพคนเสื้อเหลืองที่เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ วุ่นวายหน้าปากซอยเพชรบุรี 5

“ผช.เสธ.ทบ.” เดินสายอีสาน

ส่วนที่ จ.เลย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ผช.เสธ.ทบ และผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน (กอ.รมน.) เดินทางไปที่ห้องประชุมขุมทองวิไล มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย พบปะกับหัวหน้าหน่วยราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายก อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ประกอบการวิทยุชุมชนในพื้นที่ จ.เลย และจ.หนองบัวลำภู เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงถึงการทำงานของทหารที่ได้เข้าสลายม็อบเสื้อแดงเมื่อ วันที่ 13-14 เม.ย. ที่ผ่านมา ยืนยันว่าไม่มีประชาชนเสียชีวิตแม้แต่คนเดียวจึงต้องการให้ผู้นำท้องถิ่นได้ เข้าใจและนำไปเผยแพร่บอกกับประชาชนได้อย่างถูกต้อง ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่ามีการพยายามปลุกแนวร่วมผกค.เก่านั้น ทางทหารไม่ได้นิ่งนอนใจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบตาม ขั้นตอน.

ผบช.น.ปัดไม่รับรายงานจับมือยิง"สนธิ"

พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ปัดยังไม่ได้รับรายงานรายละเอียดการจับกุมผู้ต้องหาที่ลอบยิง "สนธิ" จำนวน 3 คน เป็นทหาร 2 คน และพลเรือน 1 คน ยันเป็นเพียงกระแสข่าว ขณะที่ "สนธิ"เล็งปลีกวิเวกแสวงบุญอินเดีย-เนปาล คนใกล้ชิดเผยอาจตัดสินใจพำนัก ตปท.ระยะยาว

การนัดแถลงเปิดใจของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะมีขึ้นที่บ้านพระอาทิตย์ ในวันที่ 30 เมษายน เวลา 12.30 น. หลังถูกคนร้ายลอบสังหาร มีประเด็นที่น่าจับตามอง ภายหลังคนใกล้ชิดของนายสนธิเปิดเผยว่า นายสนธิอาจตัดสินใจปลีกวิเวก และไปพำนักในต่างประเทศเป็นระยะเวลานาน

ก่อนหน้านี้ ในช่วงเย็นวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา นายไพศาล มังกรไชยา ผู้ดำเนินรายการวิทยุ "ข่าวเด่นประเด็นร้อน" ทางสถานีวิทยุคลื่นความคิด เอฟเอ็ม 96.5 เมกะเฮิรตซ์ อสมท และเป็นอดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารผู้จัดการรายเดือน และบรรณาธิการอาวุโสผู้จัดการรายวัน กล่าวในรายการว่า ผู้ใกล้ชิดนายสนธิบอกเล่าให้นายไพศาลฟังว่า นายสนธิอาจ เปิดใจได้ไม่มาก แม้แต่จะเปิดเผยว่าเป็นฝีมือใครก็คงยังไม่ได้ เพียงแต่จะเล่าเหตุการณ์วันที่โดนลอบสังหารเท่านั้นว่า เหตุการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร

"ส่วนจะพูดเบื้องหลังคนสั่งการให้ลอบสังหาร ก็พูดไม่ได้ว่ามีสีหรือไม่มีสี แม้แต่เปิดเผยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็พูดไม่ได้ หรือผู้หญิงกับชายร่วมมือกัน ก็พูดไม่ได้" นายไพศาลกล่าว

นายไพศาลอ้างคำพูดผู้ใกล้ชิดนายสนธิด้วยว่า การแถลงข่าวของนายสนธิอาจ เชื่อมโยงไปถึงท่าทีความเคลื่อนไหวของพันธมิตรเสื้อเหลืองในระยะต่อไป และอาจมีความเป็นไปได้ว่า จะเป็นการเปิดใจครั้งสำคัญและประเมินสถานการณ์ครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจปลีก วิเวก ซึ่งคราวนี้อาจไม่ใช่แค่ไปวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เท่านั้น แต่คงเดินทางไปต่างประเทศ ส่วนจะไปสั้นหรือยาวก็แล้วแต่นายสนธิจะตัดสินใจ แต่เท่าที่ทราบนายสนธิอาจ เดินทางไปจาริกแสวงบุญตามรอยพระพุทธเจ้าที่ประเทศเนปาล และประเทศอินเดีย แล้วอาจไปพำนักในต่างประเทศประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน

อย่างไรก็ตาม นายไพศาลเชื่อว่า การที่นายสนธิจะไปอยู่ต่างประเทศนาน คงไม่มีผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตร เพราะแม้นายสนธิจะไปอยู่ประเทศไหน ก็สามารถวิดีโอลิงก์เข้ามาได้แบบเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

เลื่อนสั่งคดีจักรภพ-สนธิหมิ่นเบื้องสูง

ที่ห้องประชุม 100 ปี สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา พร้อมด้วยนายธำรงศักดิ์ หงษ์ขุนทด เลขานุการอัยการฝ่ายคดีอาญา แถลงความคืบหน้าคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ต้องหา ในความผิดฐานหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีกล่าวบรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษโดยมีถ้อยคำเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ว่า ตามที่พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งคดีในวันนี้ ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้ส่งทนายความมาขอเลื่อนนัด โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจอยู่ที่ต่างประเทศ

อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าคดียังอยู่ระหว่างขั้นตอนการสั่งคดี อีกทั้งผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และคณะทำงานอัยการเองก็สั่งให้พนักงานสอบสวนไปสอบประเด็นเพิ่มเติมอีกบาง ประเด็น ซึ่งไม่แล้วเสร็จเกี่ยวกับการแปลภาษาในเอกสาร และอัยการส่งให้สถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 2 แห่ง รวมทั้งการสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติมตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ จึงอนุญาตให้เลื่อนฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 15 มิถุนายน เวลา 10.00 น. ทั้งนี้ หากนายจักรภพไม่เดินทางมารายงานตัวอีกในนัดสั่งคดีนั้น ถ้าอัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องแล้วผู้ต้องหาไม่มารายงานตัว อัยการก็จะเรียกนายประกันให้ส่งตัวตามนัด หากไม่นำตัวมาส่งก็จะต้องขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินการติดตามตัวพร้อมกับขอ อนุมัติหมายจับจากศาลต่อไป

ในส่วนคดีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตร ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีนำคำปราศรัยจาบจ้วงสถาบันของนางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด แนวร่วม นปช. ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยแล้ว มาเผยแพร่ซ้ำบนเวทีพันธมิตร อัยการได้เลื่อนนัดสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 30 มิถุนายน เวลา 10.00 น. หลังจากนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ ขอเลื่อนนัด เนื่องจากนายสนธิอยู่ระหว่างพักรักษาตัวหลังถูกลอบยิง

ในช่วงดึกวันเดียวกัน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ปฏิเสธว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาที่ลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล

"เป็นเพียงกระแสข่าว เนื่องจากจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานแต่อย่างใด" ผบช.น.กล่าว

ขณะที่ พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รองผู้บังคับการศูนย์สืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า ชุดสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาลยังไม่มีการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย หรือผู้ต้องหาแต่อย่างใด คงเป็นกระแสข่าวที่คลาดเคลื่อน แต่จะมีหน่วยงานอื่นไปจับกุมหรือไม่ยังไม่ขอยืนยัน ขณะนี้ก็พยายามประสานงานกันอยู่

ผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์ติดต่อไปยัง พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. แต่นายเวรของ พล.ต.ท.อัศวิน ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการจับกุมผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยแต่อย่างใด

ผจก.อ้างตร.จับคนลอบฆ่า"สนธิ"ได้แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้นเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ระบุถึงรายงานข่าวว่า หลังจากชุดสืบสวนชุดใหญ่ ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ในฐานะรองหัวหน้าชุดคลี่คลายคดี ได้ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี เพื่อติดตามกลุ่มบุคคลต้องสงสัย ล่าสุดมีรายงานข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยในคดีลอบสังหารนายสนธิได้ แล้ว 3 คน เป็นทหาร 2 คน และพลเรือน 1 คน โดยขณะนี้ถูกนำตัวมาสอบสวน ณ ที่แห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อสอบสวนขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง และผู้บงการใหญ่

ผู้จัดการออนไลน์ระบุด้วยว่า การจับกุมผู้ต้องสงสัยในครั้งนี้ สอดคล้องกับการให้ข่าวของ พล.ต.ท.อัศวิน ที่เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ภายใน 7 วัน จะมีข่าวดี ขณะที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวน เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้จะสรุปคดีอย่างชัดเจน

"ล้มปฏิรูป"-เกมยื้อเวลา

ท่าจะแท้งซะแล้ว กับแนวทางการตั้งกรรมการปรองดอง สมานฉันท์ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการแก้ไขปัญหาวิกฤติของบ้านเมืองผ่านระบบรัฐสภา

แม้จะมีความพยายามระดมความเห็น สร้างภาพ ส่งตัวแทนจากพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล สภาสูงหารือแก้วิกฤติบ้านเมือง

สุดท้ายก็มาลงตัวด้วยมติตั้ง "คณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อความปรองดองและสมานฉันท์และแก้ไขรัฐธรรมนูญ"

แม้จะมีการวาดภาพความเป็นไปได้แบบสวยหรู โดยเฉพาะองค์ประกอบของคณะกรรมการ ที่ต้องมาจากการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเป็นอิสระ-เป็นกลาง ซึ่งมาจากส.ส.และส.ว. 30 คนและผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คน

มีภารกิจ 4 อย่างคือ 1.เสริมสร้างและรักษาความสงบในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ 2.รับฟังความเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน 3.พิจารณาระบบกฎหมายทั้งหมดโดยต้องเชื่อมโยงถึงความถูกต้อง คงความเป็นนิติรัฐ รักษานิติธรรม 4.พิจารณาสาระการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่ดูเหมือนบรรดา "คอการเมือง" ออกมาส่ายหน้ากันเป็นแถว !

รับไม่ได้กับคณะกรรมการกลางที่จะตั้งขึ้นมาจะกลายเป็นการ "ยื้อเวลา" แก้ไม่ตรงจุด

สุดท้ายจะกลายเป็นการเล่นปาหี่ ไม่รู้ว่ามุ่งสร้างความปรองดองของชาติ หรือของนักการเมืองกันแน่

อัตราส่วน 3 ต่อ 1 ระหว่างนักการเมืองกับผู้ทรงคุณวุฒิ จะสร้างสมานฉันท์ได้จริงหรือ !!!!

หรือจะถูกกลืน ไหลตามน้ำ หากผลประโยชน์หวานหมู

หากดูรายชื่อ ที่แต่ละพรรคการเมืองคัดสรรและเตรียมพร้อมเสนอเข้ามาเป็นกรรมการปรองดองฯ ล้วนเรียกได้ว่า
“เขี้ยวลากดิน” ทั้งสิ้น

ซ้ำดูเหมือนเวลานี้กระแสเสียงจากฝ่ายนักการเมือง ดูเหมือนจะไม่อยู่กับร่องกับรอย ขัดแข้ง ขัดขากันเอง ทั้งสิ้น

โดยเฉพาะเมื่อ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ที่ออกมาโยนระเบิดลูกใหญ่ กลางที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์

"องค์ประกอบของคณะกรรมการทั้ง 40 คนเป็นองค์ประกอบที่พิกลพิการ ทั้ง 40 มาจากภาคการเมืองล้วนๆ แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการในสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คนก็มาจากการเสนอของพรรคการเมืองอยู่ดี แนวทางนี้จึงไม่ใช่ทางออกของชาติแต่เป็นการแก้ไขปัญหาของนักการเมือง”

ขณะที่ "พรรคเพื่อไทย" เองก็เมิน เล่นแง่ ต่อรอง ไม่ส่งคนร่วมเป็นกรรมการปรองดองและสมานฉันท์เด็ดขาด หากรัฐบาลไม่ผลักดันตั้งกมธ.วิสามัญสอบสลายม็อบ แถมขู่จะเดินหน้าฟ้องยูเอ็น-กรรมการสิทธิฯ-ป.ป.ช.

ด้าน "สภาสูง" ก็ป่วนหนัก

เมื่อส.ว.กลุ่ม 40 เดินหน้าบีบไม่เอา 7 รายชื่อเดิม เพราะเชื่อว่าเป็นคนสายพรรคเพื่อไทย ทำเอา “ประสพสุข บุญเดช” ประธานวุฒิสภา อยู่ไม่ได้ ต้องส่งข้อความสั้นไปยังส.ว.ทุกคนเพื่อให้ร่วมประชุมกับวิปวุฒิสภาใหม่

แม้พรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา จะรีบอ้าแขนรับกับข้อเสนอ ซ้ำรีบรวบรวมประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ ชงเรื่องส่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ“ กันแบบปัจจุบันทันด่วน

พุ่งเป้าไปที่ประเด็นส่วนตัวทั้งสิ้น !!!
ไม่ว่าจะเป็น เรื่องที่มาของส.ส. การสรรหาองค์กรอิสระ โดยเฉพาะประเด็นยุบพรรค-นิรโทษกรรม ที่มีเสียงตอบรับกันแบบเกรียวกราว
งานนี้เล่นเอาคนในพรรคประชาธิปัตย์ถึงกับกระอักกระอ่วน แทบจะกัดลิ้นตัวเอง

เพราะหากมีการแก้รัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรมการเมืองกว่า 200 ชีวิต คืนชีพระบอบทักษิณอีกครั้ง เกรงจะพรรคจะถูกโดดเดี่ยว-เล็กลง

เท่ากับเป็นการ "ฆ่าพรรค" ทางอ้อม

อย่าลืมว่า แม้จะมีการประเมิน วิเคราะห์จากผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ ถึงผลร้ายที่จะตามมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่ก็ใช่ว่า คณะกรรมการปรองดองฯ จะตั้งขึ้นง่ายๆ ต้องมีการประลองกำลังกันอีกหลายเวที ซึ่ง “มาร์ค-เทพเทือก” ต่างมองเกมนี้ออกทั้งสิ้น

แม้ในอีกด้านหนึ่งดูเหมือนรัฐบาลจะจริงใจในการแก้ปัญหา เร่งตั้งคณะกรรมการฯ ให้เสร็จภายใน 15 วัน ก็ตาม

แต่เอาเข้าจริงทางออกที่ว่านี้ "ไม่" สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน !

เพราะจากอดีตที่ผ่านไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของ “สมัคร สุนทรเวช” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่พยายามเสนอรูปแบบคณะกรรมการต่างๆ แต่สุดท้ายก็ต้องล่มไม่เป็นท่า

เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ครั้งหลังสุดนี้ ที่เข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ได้เสนอออปชั่นแก้ไขวิกฤติของบ้านเมืองผ่านคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง โดยยืมมือสถาบันพระปกเกล้า เป็นหัวหอกสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สุดท้ายก็ต้อง "ม้วนเสื่อกลับบ้าน"

นั่นเป็นเพราะว่าแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องผลประโยชน์ของนักการเมือง ที่คิดเอง เออเอง แสวงหาทางออกให้ตัวเอง เป้าหมายเพื่อำนาจและเงินตรา

ไม่ได้เป็นแก้ไขเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

กระนั้นหากรัฐบาลชุดนี้ทนแรงบีบของพรรคร่วมไม่ไหว สุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจอนาคตของรัฐบาล !

รองนายกฯ สั่ง ตร.เข้มโจรหางแดงห้ามป่วนฉัตรมงคล

“สุเทพ” เชิญชวนประชาชนร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฉัตรมงคล 5 พ.ค. ไม่ห่วงเสื้อแดงป่วนทุกหัวเมือง มอบหมายตำรวจเป็นกำลังหลัก ดูแลมาตรการรักษาความปลอดภัยและสามารถขอกำลังเสริมจากทหารได้ตลอดเวลา

วันนี้ (29 เม.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสครบรอบปีที่ 60 แห่งการบรมราชาภิเษก (วันฉัตรมงคล) ว่า ช่วง 2-3 วันนี้ขอเชิญชวนประชาชนให้เตรียมตัวไปร่วมงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส ปีที่ 60 แห่งการบรมราชาภิเษกฯ ซึ่งงานดังกล่าวจะจัดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ โดยในต่างจังหวัดจะจัดขึ้นที่ศาลกลางจังหวัดทุกแห่ง ในช่วงเวลา 17.00-24.00 น.

ส่วนที่กรุงเทพมหานครนั้น ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมนี้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตลอดถนนราชดำเนินไปจนถึงท้องสนามหลวง ซึ่งใครที่มีความคิดหรือแนวทางที่จะนำเสนอให้การจัดงานนี้มีความคึกครื้น เป็นงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของประชาชนคนไทยก็สามารถแนะนำรัฐบาลมาได้ การจัดกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่คนไทยจะได้แสดงความจงรักภักดี และการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัย นายสุเทพกล่าวว่า คิดว่างานนี้เราทำเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คงไม่มีใครจะมาก่อความวุ่นวาย ทำอันตรายใคร หรือก่อเหตุใดๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาทก็มอบหมายให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นกำลังหลักในการดูแล รักษาความปลอดภัย และสามารถขอกำลังจากเจ้าหน้าที่ทหารมาเพิ่มได้ตลอดเวลา

เมื่อถามถึงข้อคิดเห็นของเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุ ว่า การออก พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะน่าจะเป็นไปไม่ได้ นายสุเทพปฏิเสธที่จะตอบคำถามโดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า วันนี้ขอพูดเรื่องการจัดงานในวันที่ 5 พ.ค.อย่างเดียวดีกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ เก็บไว้ก่อน เพราะถือว่างานนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกเรื่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในสัปดาก์หน้ากลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่จะส่งผลกระทบต่อการจัดงานหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า “ผมยิ่งไม่สนใจใหญ่เลย เพราะผมเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมงานในวันที่ 5 พ.ค.นี้เท่านั้น” เมื่อถามว่าแต่วันดังกล่าวที่ท้องสนามหลวงก็อาจมีคนเสื้อแดงมาชุมนุมอยู่ ด้วย นายสุเทพกล่าวว่า ตนเชิญชวนประชาชนมาร่วมงานวันที่ 5 พ.ค.เพื่อทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

รบ.จ่อออก กม.หนุนกู้เงินเกินเพดาน สัปดาห์หน้าชัดเจน

“มาร์ค” เตรียมออกกฎหมายหนุนกู้เงินเกินเพดานให้ “กฤษฎีกา” ดูรายละเอียดออก “พ.ร.ก.หรือ พ.ร.บ.” รวมทั้งรอบการปรับลดงบประมาณปี 53 จำนวน 17 ล้านล้านบาท สัปดาห์หน้าชัดเจน

วันนี้ (29 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า เป็นการรับทราบตัวเลขด้านต่างๆ เช่น การเงิน การคลัง ภาวะแรงงาน ท่องเที่ยว ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขื้นในช่วงที่ผ่านมาโดยรวม ในส่วนของผลกระทบมีตัวชี้วัดบางตัวไม่ทำให้เราต้องตื่นตระหนกตกใจเช่นเรื่อง ของภาวะแรงงาน ตัวเลขเดือน มี.ค.เบาลง จากช่วงเดือน ก.พ.ที่มีการเลิกจ้าง ลาออกกันมาก แต่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ จะจับตาดูเรื่องตัวเลขเดือน เม.ย.อีกครั้ง เพราะแง่ตัวเลขการผลิต ภาคส่งออก นำเข้า ยังหนักอยู่ ยกเว้นกรณีของอิเล็กทรอนิกส์ที่เริ่มมีตัวเลขดูดีขึ้นมาบ้าง อย่างไรก็ตาม ได้ให้ทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปเจาะดูในแง่ตัวเลขเศรษฐกิจภายในที่ได้รับผลกระทบแรงแค่ไหน ส่วนแง่มาตรการ สัปดาห์หน้า วันที่ 6 พ.ค.จะมีการนำเสนอให้ชัดเจนในเรื่องงบประมาณ และการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งที่มาของเงินอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งกรอบการปรับลดงบประมาณ ปี 2553 จำนวน 1.7 ล้านล้านบาทด้วย ซึ่งในการประชุม ครม.วานนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ได้รายงานสินค้าบางตัวที่ราคาแพง เช่น มะนาว เนื้อหมู

เมื่อถามว่า มีแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าที่ราคาแพงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กรณีมะนาวทางกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าเป็นภาวะที่น่าจะเริ่มคลี่คลายลง ขณะเดียวกันจะมีโครงการที่กระทรวงพาณิชย์ทำอยู่ ซึ่งจะลดเรื่องขั้นตอนและต้นทุนทางการตลาด ที่จะแก้ไขปัญหาเช่นเดียวกับราคาหมู ที่มีผลกระทบเวลานี้คือปริมาณการผลิตเวลานี้ลดลง

เมื่อถามว่า ในเรื่องของงบประมาณปี 53 จะมีผลกระทบถึงการไม่ขึ้นเงินเดือนของข้าราชการหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ได้ไปถึงตรงนั้น ตนยังไม่ทราบว่าข่าวมาจากไหน และมีความหมายอะไร เมื่อถามว่า ข้อสังเกตุในครม.ถกเรื่องอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในส่วนงบประมาณ 1.5 ล้านล้าน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี จะมีการนำตัวเลขมาดูว่าประมาณการล่าสุดเมื่องบประมาณการจัดเก็บรายได้เป็น เท่านี้แหล่งเงินอื่นจะมาอย่างไร หากจำเป็นจะต้องมีการหาแหล่งเงินอื่น จะต้องมีการปรับแก้หรือออกกฎหมายอะไร สัปดาห์หน้าจะได้ข้อยุติ

เมื่อถามว่า หมายถึงหนี้สาธารณะอาจจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเลข นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จะไม่เป็นอย่างนั้น จะดูว่าวิธีที่ทำจะไม่ไปแก้กฎหมายหลัก จะทำเหมือนหลายครั้งในอดีตที่มีการออกกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลในการกู้เงิน เช่น ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปีที่แล้ว ได้มีการออกกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลในการกู้เงิน ปี 2545 ก็มีการออกกฎหมายให้รัฐบาลกู้เงิน (ตามกฎหมายหากรัฐบาลกู้เงินเกินเพดานต้องมีกฎหมายออกมารองรับ) เราจะทำลักษณะคล้ายๆ อย่างนั้น โดยจะต้องมีการกำหนดวงเงินและกรอบเวลาให้ชัดเจนโดยความตั้งใจของตนคือ ในส่วนที่เป็นโครงการที่มาใช้ในการลงทุนเพื่อการพัฒนาต้องให้สภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นรายละเอียดของโครงการต่างๆ เวลานี้กำลังให้ทางกฤษฎีกาพิจารณาดูว่า ทำได้ในรูปแบบไหนอย่างไร ซึ่งกฎหมายมีทั้ง พ.ร.บ.และ พ.ร.ก. หากจะออกเป็น พ.ร.ก. ก็ต้องดูว่ามีความจำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น

เมื่อถามว่า ตัวเลขเงินกู้เดิมจะเปลี่ยนแปลงไปตามกฎหมายที่จะมีในอนาคตหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในจำนวนเงิน 1.5 แสนล้านบาท ไม่ใช่เงินกู้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งจะเป็นงบประมาณ ส่วนหนึ่งเป็นจีดีพี ส่วนวงเงินกู้จะต้องไปทำตัวเลขออกมา สัปดาห์หน้าจะชัดเจน อย่างไรก็ตาม งบประมาณโครงการใดที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และนโยบายรัฐบาลก็ต้องถูกตัด ออกไป ส่วนเงินลงทุนเบื้องต้นจะดูการลงทุนที่ผูกพันมา และต้องเดินต่อ และจะดูโครงการใหม่ตามนโยบาย ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อ และเรื่องการบินไทยไม่ได้มีการพิจารณากัน ทั้งนี้เรื่องการบินไทยใกล้จะจบแล้วในเรื่องของโครงสร้าง

“ไอ้ตู่” ท้าสภาโหวตอภิสิทธิ์ ส.ส.คุ้มกะลาหัว สบถ ตร.ใช้ส้นตีนทำงาน

“จตุพร” ปากกล้าขาสั่น ท้าสภาโหวตลงมติไม่อนุมัติใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง โบ้ยเป็นบรรทัดฐานให้สภา คุยโวไม่ใช้เสียง ส.ส.ฝ่ายค้านช่วยโหวตสวน พร้อมมอบตัวตำรวจอยู่แล้ว สบช่องใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวหนีนอนคุก แสดงสันดานถ่อยโวยตำรวจใช้มาตรฐานส้นตีนอะไรในการทำงาน

วันนี้ (29 เม.ย.) ที่รัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช.กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานผ่าน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอตัวนายจตุพรไปดำเนินคดีในข้อหากระทำความผิด ยุยง ปั่นป่วนกลุ่มผู้ชุมนุมให้ก่อความวุ่นวาย ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาว่า ตนขอท้าให้ ส.ส.ในสภาโหวตลงมติเพื่อไม่อนุมัติให้ตนใช้เอกสิทธิ์การเป็น ส.ส.คุ้มครองในการต่อสู้คดีเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในสภา เพราะที่ผ่านมากรณีของ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่เคยนำเรื่องการดำเนินคดีมาบรรจุเป็นวาระการประชุมตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียว กับกรณีของตน

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ในการโหวตนั้นตนจะไม่ใช้เสียง ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน เพื่อโหวตช่วยสวนกับพรรคประชาธิปัตย์ และหากผลโหวตไม่อนุญาตให้ตนใช้เอกสิทธิ์ก็พร้อมที่จะมอบตัวโดยไม่ขอแสดง เจตจำนงในการขอใช้เอกสิทธิ์ อีกทั้งการเป็น ส.ส.ก็สามารถประกันตนเองได้อยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์ในการ ประกันตัว

นายจตุพร ยังกล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในสัปดาห์หน้าด้วยว่า ยังคงเป็นเพียงการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีการปลุกปั่นหรือปลุกระดม เป็นการชุมนุมโดยสงบ และถือเป็นการชุมนุมเพื่อประมวลและสรุปผลการชุมนุมที่ผ่านมา

“เรื่องเงื่อนไขการประกันตัวของแกนนำคนเสื้อแดงที่มีคำสั่งไม่ให้ ขึ้นเวทีและปลุกปั่นนั้น มีมาตรฐานต่างกับของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ยังสามารถขึ้น เวทีได้ ดังนั้นจึงอยากถามว่า ตำรวจใช้มาตรฐานส้นตีนอะไรในการทำงาน” นายจตุพร กล่าว

“เทพไท” แฉโฟนอิน “แม้ว” ปลุกระดมหางแดงผิด กม.16 ครั้ง

โฆษกนายกฯ แถลงโต้ นช.แม้ว ส่งสัญญาณหางแดงเคลื่อนไหวสับปลับ นัดระดมพลอย่างสันติวิธี ป้ายสีรัฐบาลต้นเหตุยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เผยข้อมูลโฟนอินปั่นหัวเสื้อแดงเข่าข่ายผิด กม.16 ครั้ง

วันนี้ (29 เม.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ในเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยสันติวิธี ว่า มีประเด็นที่คาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามใส่ร้ายรัฐบาล ซึ่งตนได้สรุปจากแถลงการณ์ดังกล่าวได้ 5 ประเด็นคือ 1.พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่าเป็นผู้สนับสนุนและเห็นด้วยกับการใช้ความ รุนแรง เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ซึ่งข้อนี้ตนคิดว่า พฤติกรรมที่ผ่านมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ปรากฏชัดว่า มีการโฟนอินเข้ามาตลอดเวลาเพื่อยั่วยุและปลุกระดมให้ประชาชนออกมาชุมนุมให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รวมถึงให้ผู้ชุมุนุมไปที่ทำเนียบรัฐบาลไปสมทบกันที่พัทยา เพื่อปิดล้อมการประชุมอาเซียน และให้รถแท็กซี่ปิดการจราจรบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณพฤติกรรมของกลุ่มคนดังกล่าวด้วย รวมไปถึงพฤติกรรมที่ให้คนเสื้อแดงไล่ล่าจับตัวนายกฯ และทุบรถนายกฯที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อเอาชีวิต
2.พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ตลอดชีวิตเคารพการใช้สันติวิธี เสรีภาพ และความเท่าเทียมกัน ซึ่งตนคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกลับไปดูว่าเป็นอย่างที่เคยพูดหรือไม่ การฆ่าตัดตอน 2,500 ศพที่ยังไม่มีข้อยุติในวันนี้ การอุ้มฆ่าผู้บริสุทธิ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขในความไม่สงบในพื้นที่ เป็นสันติวิธีหรือไม่ รวมถึงการหายตัวไปของทนายสมชาย และการตายของชิปปิ้งหมู เกิดขึ้นในสมัยใด

นายเทพไท กล่าวว่า ประเด็นที่ 3 พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า พวกเราต้องอดทนและวางเฉยต่อการยั่วยุต่างๆ ของรัฐบาล แต่ตนคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในการชุมนุมของคนเสื้อแดง ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้มีการยั่วยุ หรือดำเนินการใดๆ ที่จะเป็นเงื่อนไขเพื่อก่อให้เกิดความรุนแรง แต่ตรงกันข้ามภาพที่ปรากฏ คือ ทหารถูกยิงสี่นาย การเอารถแก๊สมาขวางเพื่อเป็นตัวประกัน การเผารถเมลล์ การเผาตู้เอทีเอ็ม และมีการเตรียมการเผาบริษัทขนาดใหญ่ และการบุกไปล้อมยิงมัสยิด สิ่งเหล่านี้เป็นคำตอบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นอย่างดี

4.พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า จะไม่ยอมยุติการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตย ตนคิดว่าเป็นการส่งสัญญาณให้กับลิ่วล้อ หรือมวลชนคนเสื้อแดงให้เคลื่อนไหวต่อ โดยเห็นชัดว่าวันนี้ แกนนำกลุ่มเสื้อแดงที่ถูกหมายจับ ในฐานะที่ก่อความไม่สงบในประเทศ ได้รับการประกันตัวออกมา ก็ประกาศที่จะเคลื่อนไหว เป็นการแสดงให้เห็นว่า การที่บ้านเมืองต้องการความสงบ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังเรียกร้องให้มวลชนคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความวุ่นวายอีก ครั้งหนึ่ง

5.พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า มีความมั่นใจในพลังของประชาชน ต้องชนะและมีชัยในแนวทางสันติ ตนอยากถามว่า ความหายทางสันติของ พ.ต.ท.ทักษิณ คืออะไร คือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยประกาศต่อสู้เคลื่อนไหวใต้ดิน การประกาศว่า การที่นายกฯและรัฐบาลลงพื้นที่จะมีการไล่ล่ายิงหัว หรือการที่ นายจักรภพ เพ็ญแข ประกาศจับปืนขึ้นสู้กับอำนาจรัฐ นั่นหรือคือแนวทางสันติวิธีของ พ.ต.ท.ทักษิณ

“คำแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมา ผมไม่แน่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้สึกอย่างไร แต่ผมคดว่าคนในชาติรู้สึกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังสับสน มีปัญหากับความคิดและมีปัญหากับตัวเอง ในเรื่องความจำ ที่ตนเองได้ทำมาเมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน”นายเทพไทกล่าวว่า และกล่าวต่อว่า ขณะนี้ตนได้ให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ รวบรวการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 6-13 เม.ย.ซึ่งมีการโฟนอิน 16 ครั้ง โดยจากการแกะเทปและสรุป เห็นได้ว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายกว่า 56 ประเด็น เช่น นี้เราจะยอมต่อไปไม่ได้แล้ว

นายเทพไท กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจาการประชุมวิปสามฝ่ายแล้วมีมติออกมาว่า ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุด อย่างไรก็ตาม มีสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้กล่าวพากพิงพรรคประชาธิปัตย์กรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย เสนอว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 237 เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์กลัวถูกยุบ ตนยืนยันว่า พรรคไม่ได้เจาะจงแก้ไขมาตราดังกล่าว ซึ่งพรรคได้ต่อสู้กับมาตราดังกล่าว และมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าไม่หวั่นไหวต่อการยุบพรรค เพราะที่ผ่านมาได้ต่อสู้กับเรื่องดังกล่าวหลายครั้ง โดยการเอาความจริงเข้าสู้จนประสบความสำเร็จ พรรคเพื่อไทยต่างหากที่ต้องย้อนกลับไปดูประวัติของตัวเองว่า ถูกยุบไปแล้วกี่ครั้งและเชื่อว่าในอนาคตต่อไปข้างหน้าก็จะถูกยุบอีก เพราะมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง จึงอยากแนะนำให้นายจตุพร หากมีความคิดเห็น ไม่สอดคล้องกับวิปฝ่ายค้าน ก็ควรไปเสนอในที่ประชุมของพรรค เพื่อให้พรรคมีมติออกมา ไม่ใช่ออกมาสวนมติพรรค ซึ่งตนคิดว่าเป็นการไม่เคารพคนส่วนใหญ่ในวิปสามฝ่าย และหาก นายจตุพร เห็นว่าประเด็นใดที่เอื้อประโยชน์ให้พรรคประชาธิปัตย์ นายจตุพร ก็ควรที่จะไปต่อสู้ในคณะกรรมการ

นายเทพไท ยังกล่าวถึงขวัญกำลังใจของนายกรัฐมนตรี ภายหลังเหตุการณ์วุ่นวายที่ผ่านมา ว่า นายอภิสิทธิ์ มีกำลังใจดีอย่างมาก และพร้อมที่จะนำพาชาติไปพ้นจากวิกฤต เนื่องจากได้กำลังใจจากประชาชนมากมาย

ทุ่ม200ล.ประกันจลาจล ดึงทัวร์ตปท.ฟื้นท่องเที่ยว ขรก.ปลื้มครม.จ่ายโบนัส

รัฐบาลหมดท่าหวั่นรายได้ดิ่งเหวหลังเจอพิษการเมือง-เศรษฐกิจอ่วม คลอดมาตรการอุ้มเอสเอ็มอีกู้เงินแบงก์มาจ่ายภาษีแทนโดยให้บสย.เข้าไปค้ำ ประกันความเสี่ยง คาดได้เงินเสียภาษีแน่ ๆ หมื่นล้าน พร้อมให้เอสเอ็มอีแบงก์ปล่อยกู้ 5 พันล้าน ช่วยเอสเอ็มอีท่องเที่ยวรายละไม่เกิน 5 ล้าน เร่งกระตุ้นความเชื่อมั่นเจียดงบให้ 200 ล้าน ประกันภัยจากเหตุจลาจลให้นักท่องเที่ยว 6 เดือน ไฟเขียวอนุมัติงบ 6.7 พันล้านจ่ายโบนัสขรก.ทำงานดี 1.5 ล้านคน พร้อมขยายใช้น้ำประปาเทศบาล-ท้องถิ่นฟรีช่วง เม.ย.-ก.ย.นี้ ขณะที่กรรมกร ตั้ง 20 ศูนย์ร้องทุกข์ รองรับเหตุเลิกจ้าง จี้รัฐผุดกองทุนช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบ มาตรการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอี ทั่วไป เพื่อนำมาชำระภาษีนิติ บุคคล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้าไปค้ำประกันสินเชื่อให้กับธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง 100% เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี เพื่อนำมาใช้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องยื่นแบบและชำระภาษีภายในเดือน พ.ค. นี้ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันแต่ อย่างใด แต่มีเงื่อนไขการขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ คือ คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นรายเดือน เป็นเวลา 1 ปี และมีระยะเวลาปลอดหนี้ 3 เดือน คาดว่าจะมีผู้มาขอใช้สินเชื่อประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากที่ปกติภายในเดือน พ.ค.นี้จะมีนิติบุคคลที่เสียภาษีประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยเป็นภาษีของเอสเอ็มอี ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท

เมื่อ ครม.เห็นชอบแล้วจะเร่งดำเนินการ ให้เร็วที่สุด เพราะได้ประสานงานและขอความร่วมมือกับสมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย และ ธนาคารพาณิชย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยจะสิ้นสุดระยะเวลาการกู้เงินภายในเดือน พ.ค. นี้ โดยผู้มาขอสินเชื่อก่อนจะได้รับการพิจารณาก่อน และธนาคารแต่ละแห่งจะให้สินเชื่อในรูปแบบของเช็คที่สั่งจ่ายให้กับกรม สรรพากร เพื่อไปชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องการนำสินเชื่อไปใช้ทำอย่างอื่น ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าจะเกิดปัญหาหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลน้อยมาก เพราะผู้ที่สามารถเสียภาษีได้ย่อมเป็นลูกหนี้ ที่ดีด้วย “ผมขอยืนยันว่ามาตรการนี้เป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอีเพื่อให้มี เงินมาชำระภาษีให้กับรัฐบาลได้ตรงตามเวลาเท่านั้น โดยเอสเอ็มอีที่จะได้รับการช่วยเหลือต้องเป็นไปตามคำนิยามที่กำหนดไว้ เท่านั้น เช่นมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 200 ล้านบาท ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่นั้นเชื่อว่ามีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้มากกว่า เอสเอ็มอี จึงไม่จำเป็นต้องมีมาตรการเข้ามาช่วย เหลือ”

รมว.คลัง กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ครม.ยังได้เห็นชอบมาตรการทางด้านการท่องเที่ยวเพื่อช่วยเหลือผู้ ประกอบการด้านท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่องรวมทั้งยังมีมาตรการเพิ่มความ มั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มมากขึ้น หลังจากปัญหาการเมืองได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมาก จึงขอวิงวอนให้คนไทยทุกคนตระหนักถึงความรับผิดชอบของคนไทยทุกคนไม่ใช่แค่การ อ้างสิทธิเท่านั้นแต่ต้องใช้วิจารณญาณและรักษาหน้าที่ของตนเองเพื่อรักษาผล ประโยชน์ของประเทศโดยรวมด้วย

ด้าน นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช. คลัง กล่าวว่า มาตรการด้านการท่องเที่ยว ประกอบด้วยการให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่ง ประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ ปล่อยสินเชื่อ 5 พันล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่องทุกราย ในอัตราสูงสุดไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษคือดอกเบี้ยเงินกู้ชั้นดีแบบมีระยะเวลาหรือเอ็มแอล อาร์ ลบ 3% หรือเท่ากับ 4% เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นคิดดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ เป็นเวลา 3 ปี โดยมีระยะเวลาปลอดหนี้ 1 ปี โดยได้ปรับเงื่อนไขการกู้เงินให้สะดวกมากขึ้นโดยใช้บุคคลธรรมดา หรือนิติ บุคคล เข้ามาช่วยค้ำประกัน หรือหากขอสินเชื่อตั้งแต่ 2 รายขึ้นไปสามารถค้ำประกันไขว้กันได้ หากไม่มีบุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้มอบหมายให้บสย. เข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อให้ คิดค่าธรรมเนียม 0.25%

ทั้งนี้ธพว.จะพิจารณาให้สินเชื่อภายในเวลา 15 วัน นับจากที่สมาคมด้านการท่องเที่ยวได้คัดกรองรายชื่อที่ชัดเจนให้แล้ว มั่นใจว่าจะเกิดปัญหาหนี้เสียค่อนข้างน้อยเพราะได้รับการคัดกรองมาจากสมาคม แล้ว โดยจะเริ่มโครงการตั้งแต่ 1 พ.ค.-31 ก.ค.นี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 2-3 พันราย เข้ามาใช้สินเชื่อนี้แน่นอน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเอสเอ็มอีพาวเวอร์ โดยรัฐบาลจะรับภาระในเรื่องของดอกเบี้ยประมาณ 2% หรือประมาณ 200 ล้านบาท นอกจากนี้ครม.ยังเห็นชอบให้จัดทำระบบประกันภัยให้กับผู้ที่เดินทางเข้ามาใน ไทยระหว่างวันที่ 1 พ.ค.-31 ต.ค.นี้ กรณีถ้าเกิดเหตุจลาจลในประเทศไทย จะให้ความคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ โดยครอบคลุมทั้งกรณีที่ได้รับอุบัติเหตุ บาดเจ็บ เสียเวลา ล่าช้า หรือกลับไม่ได้ตามเวลาที่กำหนด โดยรัฐบาลจะเข้าไปรับภาระทั้งหมดผ่านบริษัทประกันภัย โดยจะจัดสรรวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่ต้องการเดินทางเข้ามาใน ไทยต่อไป

ส่วนนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลการประชุมครม.ว่า ครม.เห็นชอบข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และรับทราบการดำเนินการในการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการ ปฏิบัติราชการ และการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2551 ของส่วนราชการ จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา โดยอนุมัติ ให้ นายพระนาย สุวรรณรัตน์ ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ ผอ.ศอ.บต. ระหว่างวันที่ 31 ต.ค. 2549 ถึง 30 ก.ย. 2550 ให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหารเป็นการเฉพาะราย และ ก.พ.ร. ได้ประสานไปยังสำนักงบประมาณ เพื่อจัดงบประมาณไปตั้งจ่ายที่กรมบัญชีกลาง 6,735 ล้านบาท สำหรับจ่ายเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2551 ให้แก่หน่วยงานเพื่อจัดสรรแก่ผู้ปฏิบัติงาน 6,142.5 ล้านบาท และจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษ สำหรับผู้บริหารประจำปีงบประมาณ 2551 จำนวน 592.5 ล้านบาท ซึ่งจะมีข้าราชการมีสิทธิได้รับจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าว 1.5 ล้านคน

ขณะที่นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลการประชุม ครม. ว่า ครม.เห็นชอบให้มีการขยายขอบข่ายผู้ใช้น้ำประปาฟรี เพิ่มเป็นครอบคลุมถึงประชาชนที่พักอาศัยในบ้านเรือน รวมถึงผู้เช่าห้องเช่าหรืออาคารชุดอัตราไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท โดยที่ประชุมได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 2,985.7 ล้านบาท เพื่อชดเชยค่าน้ำประปาที่อยู่อาศัยของระบบประปาเทศบาลหรือ อปท. สำหรับมาตรการดังกล่าวจะใช้ระหว่างเดือน เม.ย.-ก.ย. 2552 ทั้งนี้คาดว่าจะมีประชาชนที่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการนี้อีก 4.6 ล้านคน

ที่พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย วันเดียวกัน กลุ่มองค์กรผู้นำแรงงาน นำโดย น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) นายยงยุทธ เม่นตะเภา ประธานสหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย แถลงข่าว “ปฏิบัติการขบวนการแรงงานไทย ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจ” โดย น.ส.วิไลวรรณ กล่าวว่า คสรท.ได้ร่วมกับเครือข่ายแรงงานจัดตั้ง 20 ศูนย์เรื่องราวร้องทุกข์เพื่อเป็นช่องทางให้คนงานร้องทุกข์ ซึ่งใน 3 เดือนแรกพบว่ามีจำนวนแรงงานที่มีการเลิกจ้างไปแล้ว อย่างน้อย 5 หมื่นคน และมีแนวโน้มจะถูกเลิกจ้างอีกกว่า 2 ล้านคน โดยมีแรงงานมาร้องเรียนกับศูนย์ทั้งสิ้น 13,270 คน

ด้าน นายยงยุทธ กล่าวว่า ศูนย์ข้อร้องเรียน ผู้ใช้แรงงานด้านยานยนต์ มีเรื่องร้องเรียนประมาณ 200 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องบริษัทเหมาค่าแรง และได้รับค่าบอกกล่าวล่วงหน้าเรื่องไม่จ่ายค่าชดเชย จ่ายไม่ครบ และเรื่องการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม โดยปัญหาส่วนใหญ่นายจ้างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เพราะเกรงว่าลูกจ้างจะไม่ให้ความร่วมมือ รวมทั้งมีการกดดันให้ลูกจ้างเซ็นใบลาออก จึงอยากให้กระทรวงแรงงานผลักดัน “เงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” เพื่อใช้ในการต่อสู้ กรณีที่มีข้อพิพาทแรงงานต้องใช้เวลานาน

ที่สำนักงานประกันสังคม นายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เปิด เผยหลังประชุมบอร์ด สปส.ว่า ที่ประชุมบอร์ด สปส. ได้มีมติให้ลดเงินสมทบให้กับลูกจ้าง นายจ้าง จำนวนร้อยละ 2 คือจากเดิมที่เคยจ่าย ร้อยละ 5 เหลือเพียงร้อยละ 3 เป็นระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกจ้าง นายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่ง สปส.จะต้องเสียเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท กระทบต่อผู้ประกันตนที่จะได้รับเงินกรณีชราภาพในปี พ.ศ. 2557 จำนวน 2.6 แสนคน หรือ ประมาณ 118 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามจะออกกฎกระทรวงเพื่อนำเงินที่รัฐบาลส่งเงินสมทบจำนวนร้อยละ 2.7 มาแก้ไขปัญหาดังกล่าว หลังจากนั้นจะนำเสนอให้นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว. แรงงาน เห็นชอบในวันที่ 1 พ.ค. พร้อมเสนอ ให้ ครม.อนุมัติต่อไป.

ปชป.ปล่อยฟรีโหวตยกมือคุ้มครอง“จตุพร”

"สมเกียรติ" เผย ปชป.ปล่อยฟรีโหวตให้ส.ส.ใช้เอกสิทธิ์ ตัดสินใจเองยกมือให้“จตุพร”ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครอง ระบุ ขอสงวนสิทธิ์ งดออกเสียงหากมีมติ อ้างเหตุบอกไม่ควรให้ราคาคนที่ทำผิดส่วนตัว

(29เม.ย.) นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสำนักตำรวจแห่งชาติ ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงประธานสภาผู้แทนราษฏร เพื่อขออนุญาตเรียกตัวนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดงไป ดำเนินคดี ในช่วงสมัยการประชุม ว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้หยิบยกประเด็นนี้ถกเถียงเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเวลานานนับชั่วโมง ตนเห็นว่าไม่ควรให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่สภาไม่ควรไปรับผิดชอบกับการกระทำตัวบุคคล อย่างไรก็ตามในการประชุมพรรคไม่ได้มีมติอย่างหนึ่งอย่างใดเรื่องนี้ แต่ให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ของส.ส.แต่ละคนที่จะใช้ดุลพินิจในการพิจารณา และตัดสินใจเอง

นายสมเกียรติ กล่าวว่า หากประธานสภาบรรจุเรื่องนี้เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมวันที่ 29 นี้ ตนจะขอสงวนสิทธิ์โดยการงดออกเสียง เพราะไม่สมควรไปให้ราคาคนที่กระทำผิด แล้วดึงเอาสภามารับผิดชอบ เนื่องจากเห็นว่านายจตุพรต้องรับผิดชอบกับผลการกระทำของตัวเอง ไม่ควรให้สภาต้องรับเป็นภาระในเรื่องนี้ เพราะเป็นการทำหน้าที่นอกสภาที่มีรูปแบบการเคลื่อนไหวและเป้าหมายชัดเจน เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ถึงขนาดทำให้นายกรัฐมนตรีเกือบเอาชีวิตไม่รอด มีการใช้ความรุนแรงจนทำไปสู่เหตุจราจลกลางกรุง การกระทำของนายจตุพรไม่ได้เป็นในระบบรัฐสภาเป็นการทำหน้าที่เพื่อตัวบุคลใด บุคคลหนึ่ง จึงไม่สมควรที่จะใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองในสภา

“คุณจตุ พร ไม่ต้องเอาผมเป็นตัวอย่างก็ได้ แต่เรื่องนี้ถือเป็นมโนสำนึกและความรับผิดชอบเฉพาะตัวของบุคคล โดยเฉพาะผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ ผมก็เคยโดยคดีมาก่อน ผมเข้าใจดีว่าการทำหน้าที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือเป็นความรับผิดชอบเฉพาะตัว เมื่อผมถูกดำเนินคดีดี ผมพร้อมที่จะไปต่อสู้ และไม่ได้ขอใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองในสภา เพราะสภาไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำของผม ทุกครั้งที่ผมถูกออกหมายเรียก ผมก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกครั้ง จนเขาต้องให้ผมลงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ผมไม่ต้องการใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองในสภา”นายสมเกียรติ ระบุ

กมธ.แฉรถไฟสายสีม่วงส่งกลิ่นฉาวส่อทุจริต

กมธ.แฉรถไฟสายสีม่วง ส่งกลิ่นฉาว ส่อทุจริต 7 พันล้านจี้ “มาร์ค-โสภณ” บี้บอร์ดรฟม.เจรจาปรับลดเท่าราคากลาง จับพิรุธเร่งอนุมัติ 7 วันก่อนสรรหาผู้ว่ารฟม.คนใหม่ เผยปรับลดเสปกผู้ว่าฯ เอื้อใครบางคน

(29เม.ย.) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า จากการตรวจสอบการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ สัญญาที่ 1 งานก่อสร้างโครง การยกระดับส่วนตะวันออก พบว่ามีการดำเนินการส่อทุจริต โดยเจ้าหน้าที่และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ โดยล่าสุดคณะกรรมการบริหารบริษัทรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) อนุมัติวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา ให้บริษัท ช.การช่าง เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ในวงเงิน 14,000 ล้านบาท ทั้งที่ราคากลางที่บริษัทที่ปรึกษาประเมินเอาไว้อยู่ที่ 11,166 ล้านบาท แต่ในการประมูลครั้งแรก บริษัทช. การช่าง ประมูลได้ในราคา 16,724 ล้านบาท

เนื่องจากราคาน้ำมันสูงถึง 140 เหรียญต่อบาเรล และราคาเหล็ก ก็ราคาพุ่งสูงขึ้นด้วย แต่เมื่อราคาน้ำมันและเหล็กลดลง ทางบอร์ดได้ไปเจรจาให้ ช.การช่างลดราคาลงได้เพียง พันกว่าล้านบาท คืออยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังสูงกว่าราคากลางถึง 3 พันล้านบาท ถือว่าผิดสังเกต

“เท่ากับว่าบอร์ดใหญ่ได้อนุมัติ ราคาเกินถึง 3 พันล้านบาท ถ้ารวมทั้งโครงการ ซึ่งมี 3 สัญญา อาจจะส่อทุจริตไม่ ต่ำว่า 7 พันล้านบาท โครงการนี้ดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้รับผิดชอบโครงการคือนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ในขณะนั้น ซึ่งโครงการนี้ถูกร้องและป.ป.ช. ได้ชี้มูลแล้วว่ามีความผิด แต่กลับยังกล้าดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ผมได้แจ้งเรื่องนี้ให้กับ นายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ นายกรณ์ จาติกวนิช รมว.คลัง ทราบแล้ว ซึ่งนายกรณ์ก็เห็นว่า ราคาการดำเนินการในโครงการนี้ยังสูงเกินไป ดังนั้นผมเห็นว่าทางออก คือ จะต้องปรับลดราคาลงมาให้เท่ากับราคากลาง หากยังไม่เปลี่ยนแปลงผมไม่ยอมแน่ ” นายชาญชัย กล่าว

นายชาญชัย กล่าวอีกว่า แม้บอร์ดจะอนุมัติแล้ว แต่ต้องเสนอให้นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เซ็นเพื่อส่งให้เจบิค เซ็นอนุมัติเงินกู้ จากนั้นจึงส่งกลับมาที่ครม. โครงการจึงดำเนินต่อไปได้ ดังนั้นนายโสภณ กับ ครม.ต้องไม่เซ็นต์อนุมัติ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย 6 - 7 พันล้านบาท และทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้แน่นอน ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมาธิการวันที่ 30 เม.ย. ที่ประชุมจะเชิญผู้เกี่ยวข้องในโครงการนี้เข้าชี้แจง

รองประธานคณะกรรมาธิการป.ป.ช. กล่าวต่อว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า มีการเร่งรัดการดำเนินการโครงการนี้ให้ทันก่อนวันที่ 29 เม.ย.นี้ ซึ่งจะมีการสรรหาผู้ผู้ว่ารฟม.คนใหม่ โดยที่บอร์ดแอบลดคุณสมบัติผู้สมัคร ให้ไม่ต้องมีระยะเวลาในการเป็นรองผู้ว่าในรัฐวิสากิจ จากเดิมกำหนดไว้ต้องเป็นไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งไปตรงกับคุณ สมับติ ของรองผู้ว่า รฟม.คนหนึ่งที่ผลักดันโครงการนี้ และมีการล่ำลือกันว่า บุคคลนี้เป็นคนของอดีตรมว.คมนาคม ด้วย

สั่งนายประกันนำ“จักรภพ"ขึ้นศาล15มิ.ย.

อธิบดีอัยการคดีอาญา สั่งเลื่อนคดี“จักรภพ"หมิ่นสถาบัน หลังส่งทนายอ้างติดภารกิจต่างประเทศ นัดสั่งอีกครั้ง 15 มิ.ย. ชี้หากไม่มาโดนออกหมายจับ ส่วนคดี"สนธิ"หมิ่นเบื้องสูง เลื่อนไป 30 มิ.ย. เหตุเจ้าตัวต้องรักษาตัวหลังถูกลอบยิง

(29เม.ย.) ที่ห้องประชุม 100 ปี สำนักงานอัยการสูงสุด นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา และนายธำรงศักดิ์ หงษ์ขุนทด เลขา นุการอัยการฝ่ายคดีอาญา แถลงความคืบหน้าคดีที่นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้นเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.) ผู้ต้องหา ความผิดฐานหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีกล่าวบรรยายพิเศษเป็นภาษาอังกฤษโดยมีถ้อยคำเข้าข่ายดูหมิ่นสถาบัน ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 50 ว่า ตามที่พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งคดีวันนี้ ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้ส่งทนายความมาขอเลื่อนนัดโดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจอยู่ ที่ต่างประเทศ ซึ่งอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีอยู่ระหว่างขั้นตอนการสั่งคดี อีกทั้งผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและคณะทำงานอัยการเองก็สั่ง ให้พนักงานสอบสวนไปสอบประเด็นเพิ่มเติมอีกบางประเด็น

ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จเกี่ยวกับการแปลภาษาในเอกสาร และอัยการส่งให้สถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 2 แห่ง รวมทั้งการสอบพยานบุคคลเพิ่มเติมตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ จึงอนุญาตให้เลื่อนฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 15 มิ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. ทั้งนี้หากนายจักรภพ ไม่เดินทางมารายงานอีกในนัดสั่งคดีนั้น ถ้าอัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องแล้วผู้ต้องหาไม่มารายงานตัว อัยการก็จะเรียกนายประกันให้ส่งตัวตามนัด แล้วหากไม่นำตัวมาส่งก็จะต้องขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินการติดตามตัวพร้อมกับ ขออนุมัติหมายจับจากศาลต่อไป

เมื่อถามหากมีการออกหมายจับนายจักรภพจะยากลำบากในการขอตัวเป็นผู้ร้าย ข้ามแดนหรือไม่ นายกายสิทธิ์ ตอบว่า การขอให้ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน จะทำได้ต่อเมื่ออัยการมีความเห็นสั่งฟ้องในคดีแล้ว แต่ตอนนี้อัยการยังไม่มีความเห็นใดๆ อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าตัวผู้ต้องหาอยู่ที่ไหน จึงยังตอบไม่ได้ว่าจะขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่

ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดง นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า คดีที่เกี่ยวกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาสั่งคดีของอัยการ มีเพียงเรื่องเดียว คือ คดีปิดล้อมบ้านสี่เสาเทเวศร์ ปี 50 ซึ่ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ได้มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการแล้ว และขณะนี้สำนวนคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาชี้ขาดของนายชัยเกษม นิติศิริ อัยการสูงสุด

ทั้งนี้สำหรับคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีนำคำปราศรัยจาบจ้วงสถาบันของนางดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือ ดาตอร์ปิโด แนวร่วมนปช. ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยแล้ว มาเผยแพร่ซ้ำบนเวทีพันธมิตรฯ อัยการได้เลื่อนนัดสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 30 มิ.ย.นี้ เวลา 10.00 น.หลังจากนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความขอเลื่อนนัดเนื่องจากนายสนธิ อยู่ระหว่างพักรักษาตัวหลังถูกลอบยิง

ขณะนายนิติธร เผยถึงความคืบหน้าคดีที่ 9 แกนนำพันธมิตรฯตกเป็นผู้ต้องหาความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และ ปลุกระดมมวลชนด้วยวิธีการใดเพื่อกระทำละเมิดกฎหมายแผ่นดิน โดยเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามประมวลกฎมายอาญา มาตรา 116 , 215 และ 216 ในการร่วมชุมนุมพันธมิตร ฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำเนียบรัฐบาล และมีการบุกรุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีว่า หลังจากที่ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการในการรวบรวม เอกสาร และขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติมอีก 38 ปากนั้น ล่าสุดตนได้ส่งเอกสารบางส่วนให้อัยการแล้ว โดยในสัปดาห์หน้าเตรียมนำพยานทยอยเข้าให้การจนครบทุกปาก

เสื้อแดงลำปางมอบตัว-ก่อนตร.ให้ประกัน

แกนนำเสื้อแดงลำปางเข้ามอบตัว พร้อมปฏิเสธทุกข้อหา คนเสื้อแดง แห่มอบดอกไม้เป็นกำลังใจ ก่อนที่ส.อบจ.ลำปางจะใช้ตำแหน่งประกันตัว"ณัฐชัย"ออกไป

(29เม.ย.) นายณัฐชัย อินทราย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จ.ลำปาง และเจ้าของสถานีวิทยุชุมชนคนล้านนา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับพล.ต.ต.อรรถกิจ กรณ์ทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ลำปาง ที่กองกำกับการตำรวจภูธร จ.ลำปาง หลังจากสภ.เมืองลำปาง ออกหมายจับไป 2 คน

ซึ่งก่อนหน้านั้น นายสมนึก นาคปานเสือ แกนนำคนเสื้อแดงลำปางได้มอบตัวแล้ว เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งการเข้ามอบตัวครั้งนี้มีสมาชิกคนเสื้อแดงประมาณ 20 คน ได้นำดอกไม้มามอบให้กำลังใจนายณัฐชัย ด้วย

นาย ณัฐชัย อินทราย ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนที่จะมีนาย มงคลศิลป์ ศรีอิ่นแก้ว สมาชิกอบจ.ลำปาง ใช้ตำแหน่งประกันตัวนายณัฐชัยออกไป
ท่ามกลางคนเสื้อแดงใน จ.ลำปาง มารอให้กำลังใจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อนุญาตให้ขึ้นไปชั้น 2 ของกองกำกับการตำรวจภูธร จ.ลำปาง โดยให้อยู่รอบริเวณด้านหน้าอย่างสงบ

Tuesday, April 28, 2009

ทหารพร้อมช่วย ตร.ดูแลเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ 17 พ.ค.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.นัดชุมนุมใหญ่ วันที่ 17 พฤษภาคมนี้ ว่า ทหารปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ซึ่งขณะนี้ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วจึงขึ้นอยู่กับตำรวจว่า จะประสานขอกำลังทหารมาช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยหรือไม่

"มาร์ค" ลั่น! ไม่เอาไว้ "เจ๊เพ็ญ" ชัดเจนหัวรุนแรง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ไม่ได้หารือถึงกรณีหน่วยงานข่าวกรอง รายงานว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง จะกลับไปสู่รูปแบบของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่เชื่อว่า มีบางคนแสดงออกอย่างเปิดเผย ว่าอยากใช้ความรุนแรงจริง แต่เชื่อว่า แกนนำคนเสื้อแดงรุ่นใหม่ และประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วย
ส่วนความเคลื่อนไหวล่าสุด ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศของ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำคนเสื้อแดงนั้น เป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่า นายจักรภพ มีความคิดไม่เคารพกฎหมาย และจะใช้ความรุนแรงจริง ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายอย่างแน่นอน และรัฐบาลจะมีการดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มีการรับทราบมติกรรมการ 3 ฝ่าย และการทำงานของ คณะกรรมการประมวลเหตุการณ์ ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ครม.ตั้ง "นิมิตร ดำรงรัตน์" เป็นที่ปรึกษา รมต.ไอซีที

นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เสนอแต่งตั้ง นายนิมิตร ดำรงรัตน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี แทน พล.ท.อธิยุทธ จุนทะสุต
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวง ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับข้อกฎหมาย จำนวน 13 คน โดยมีนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธาน นอกจากนี้ ยังมีนายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็นกรรมการด้วย

นายกฯ ไม่หวั่น แกนนำเสื้อแดงประกาศจับอาวุธโค่น รบ.

นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่รู้สึกกังวล กรณีแกนนำ นปช.บางคนประกาศว่าจะจับอาวุธขึ้นมาขับไล่รัฐบาล รวมถึงเริ่มใช้แนวทางการต่อสู้คล้ายกับช่วงที่มีความขัดแย้งทางการเมือง เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีอดีตแกนนำกลุ่ม นปช.บางคน คิดใช้ความรุนแรงจริง และแสดงออกอย่างเปิดเผย แต่เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งแกนนำอีกส่วนหนึ่งก็ประกาศชัดเจนแล้วว่า ปฏิเสธการใช้ความรุนแรง และเชื่อว่าประชาชนจะไม่เห็นด้วย เพราะประชาชนอยากเห็นแนวทางที่จะสร้างความปรองดองมากกว่า

กกต.ตั้งอนุฯ สอบสถานภาพ กก.บห.พผ. ของ "นพดล"

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กกต. ถึงการพิจารณาสถานภาพการเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดินของ นายนพดล พลซื่อ ที่ถูกศาลฎีกาฯ สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ว่า ภายหลังจากที่ กกต.ได้ให้ด้านกิจการพรรคการเมืองไปศึกษาข้อกฎหมาย ยังพบปัญหาว่า ที่ประชุมใหญ่ของพรรคมีมติเลือกนายนพดล เป็นรองเลขาธิการพรรคจริง แต่ตามกฎหมายระบุเช่นเดียวกันว่า ความเป็นกรรมการบริหารพรรคจะสมบูรณ์ต่อเมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองตอบรับ การเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ ด้านกิจการพรรคการเมือง มีหน้าที่ในการตรวจสอบคำสั่งของศาลฎีกาฯ เท่านั้น แต่ไม่ได้ทำความเห็นว่า นายนพดล มีสภาพการเป็นกรรมการบริหารพรรคในวันที่กระทำความผิดหรือไม่ กกต.จึงมีมติตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมาตรวจสอบกรณีดังกล่าว เพื่อทำความเห็นเสนอต่อ กกต. โดยมีกรอบระยะเวลาทำงานภายใน 30 วัน

วิปรัฐฯ ปัดปชป.เกาเหลาตั้ง 8 คกก.แก้ไขรธน.ลงตัว

"ชินวรณ์" ระบุปชป.ได้ตัวคณะกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ติงเพื่อไทยกลับกลอกตั้งแง่ไม่ร่วมสังฆกรรมฟ้องสังคมตัดสิน ชี้กรอบศึกษา 15 วันสั้นเกินไป ปฏิเสธมวยล้มต้มคนดู

วันนี้ (29 เม.ย.) นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ปฏิเสธกรณี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าถือเป็นเรื่องปกติ ที่จะมีคนไม่เห็นด้วย แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่มีปัญหา เพราะความเห็นที่แตกต่างนำมาซึ่งความสวยงาม ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาตรวจสอบเหตุการณ์ม็อบเสื้อแดง มิเช่นนั้นจะไม่ส่งคณะกรรมการเข้าร่วมปฏิรูปทางการเมืองนั้นสะท้อนว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีความเป็นเอกภาพ เพราะก่อนหน้านี้ บอกเห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมการมาปฏิรูป แต่สุดท้ายก็ไม่เอา และหากไม่ส่งคนมาร่วมด้วยก็ไม่มีปัญหา เพราะสังคมจะรู้เองว่าพรรคเพื่อไทย เรียกร้องกลับไปกลับมา เพื่อต้องการอะไรกันแน่

ส่วนกรอบระยะเวลา 15 วันในการไปรวบรวมข้อเสนอปฏิรูปนั้น นายชินวรณ์ รับว่าเป็นระยะเวลาสั้นเกินไป แต่เมื่อมีคณะกรรมการแล้วเชื่อว่า คณะกรรมการอาจยืดระยะเวลา ให้แต่ละฝ่ายไปหาข้อสรุปถึงประเด็นที่ต้องการแล้วเสนอกลับมาใหม่ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ได้คัดเลือก ส.ส.8 คน เป็นคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว

ขรก.เฮ!จ่อรับโบนัส พ.ค.นี้ ปูด “อธิบดี” รับสินบนนำจับ 10 ล.เข้าข่ายซ้ำซ้อน

ขรก.เฮอีก เตรียมรับโบนัส พ.ค.นี้ ด้าน ครม.อ้างงบประมาณต้องใช้จ่ายตามความความจำเป็น พร้อมเสนอปรับหลักเกณฑ์ให้แจกโบนัสปีหน้า หลังพบ “ดีเอสไอ-กรมศุลกากร” เอาเปรียบรับโบนัสซ้ำซ้อน ผงะ “อธิบดี” รับสินบนนำจับถึง 10 ล้าน ขณะที่ “รมว.ยุติธรรม” ล้อมคอกเสนอวางหลักเกณฑ์ใหม่ แก้ปัญหารับเงินซ้ำซ้อน

วันนี้ (28 เม.ย.) นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ประเมินผลการปฏิบัติราชการ ตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ และการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2551 ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา โดยขอความเห็นชอบผลการประเมินตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2551 ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา หลักเกณฑ์ วิธีการ แนวทางการจัดสรรสิ่งจูงใจ การจ่ายเงินรางวัลสำหรับผู้ปฏิบัติ และเงินเพิ่มพิเศษ สำหรับผู้บริหารของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2551 และรายงานผลการศึกษาของสำนักงาน ก.พ.ร.

“โดย ครม.รับทราบการดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ในการประสานสำนักงบประมาณเพื่อจัดงบประมาณไปตั้งจ่ายที่กรมบัญชีกลาง 6,735 ล้านบาท สำหรับจ่ายเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2551 ให้แก่หน่วยงานเพื่อหน่วยงานจัดสรร ให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน 5,550 ล้านบาท และจ่ายเป็นเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2551 รวม 1,185 ล้านบาท”นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวอีกว่า ครม.ยังอนุมัติให้นายพระนาย สุวรรณรัฐ ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัด ชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอ.บต.) ในช่วงระหว่างวันที่ 31 ต.ค.2549-30 ก.ย.2550 ซึ่งปฏิบัติงานเสมือนหนึ่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหาร ในปีงบประมาณ พ.ศ.2550 เป็นการเฉพาะราย ตามวิธีการการจัดสรรเงินเพิ่มพิเศษ สำหรับผู้บริหารที่ ก.พ.ร. กำหนด ในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย

แหล่งข่าวจาก ครม. เปิดเผยว่า การพิจารณาอนุมัติเงินโบนัสข้าราชการครั้งนี้ ครม.ได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีความเป็นห่วงต่องบประมาณที่ต้องมีการใช้อย่างจำเป็น ถึงขึ้นมีการเสนอหลักเกณฑ์การพิจารณาโบนัสใหม่ในปีหน้า

แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร. รายงานว่า หน่วยงานราชการส่วนใหญ่ได้รับการประเมินอยู่ในระดับดีถึงดีมาก มีสถาบันการศึกษา 2 แห่งเท่านั้น ที่ไม่ผ่านการประเมิน โดยการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีจะถึงมือข้าราชการภายในเดือน พ.ค.นี้ และนอกจากข้าราชการจำนวน 1.5 ล้านคน จะได้รับการจัดสรรโบนัสตามที่ตั้งงบประมาณไว้ 5,000 ล้านบาทแล้ว ข้าราชการยังจะได้รับเพิ่มจากโบนัสในส่วนของผู้บริหาร ซึ่งตั้งไว้จำนวน 1,000 ล้านบาท แต่ต้องแบ่งเป็นสองส่วน คือ ประมาณ 500 กว่าล้านบาท นำมาเฉลี่ยให้ข้าราชการ ทำให้ข้าราชการจะได้รับโบนัสในส่วนเพิ่มตกเฉลี่ยคนละ 4,000 บาท

“การที่ข้าราชการจะได้รับเงินโบนัสเพิ่มเติมจากส่วนที่ผู้บริหารแบ่ง มา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับเหมือนกันหมด เพราะแต่ละหน่วยงานมีการประเมินต่างกัน นอกจากนี้ ครม.ยังได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การประเมินหน่วยงานได้รับเงินรางวัล ตามที่ ก.พ.ร.รายงาน พบว่า ส่วนใหญ่ได้รับการประเมินประสิทธิภาพ ถึงขั้นดีถึงดีมาก ขณะเดียวกันการจัดสรรเงินรางวัลอย่างนี้ มีบางหน่วยงานได้รับเงินรางวัลจากสินบนนำจับอยู่แล้ว เช่น กรมศุลกากร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ”แหล่งข่าว กล่าว

แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า ที่สำคัญทราบมาว่า อธิบดีได้รับสินบนนำจับถึง 10 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นเงินที่ถูกกฎหมาย เมื่อถึงคราว ก.พ.ร.ต้องประเมินหน่วยงานเพื่อจัดสรรเงินรางวัล ก็ได้รับโบนัสส่วนนี้เข้าไปอีก อย่างนี้ก็ถือเป็นการได้รับโบนัสสองต่อ ส่งผลให้นายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว. ยุติธรรม ซึ่งกำกับดูแลหน่วยงานดีเอสไอ เสนอต่อที่ประชุมว่า ในปีหน้าควรวางหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินรางวัลประจำปีกันใหม่ เพื่อแก้ปัญหาการรับโบนัสซ้ำซ้อน

ปชป.พร้อมส่งรายชื่อกรรมการแก้ปัญหาชาติ ติงสัดส่วนภาค ปชช.น้อย

ที่ ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ข้องใจสัดส่วนกรรมการแก้ปัญหาทางการเมือง ระบุ มีสัดส่วนภาคประชาชนน้อยกว่าฝ่ายการเมือง หวั่นเป็นที่ครหา มีแต่ตัวแทนนักการเมือง แต่หนุนแนวทาง เชื่อจะช่วยแก้ปัญหาได้ เผย ได้ตัวแทนในส่วนของพรรค 8 คน พร้อมผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว เตรียมส่งรายชื่อต่อ “ชัย ชิดชอบ”

วันนี้ (28 เม.ย.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมของพรรคได้มีการหารือถึงกรณีการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการ เมืองเพื่อความปรองดองและสมานฉันท์และแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยได้มีการพูดคุยใน 2 ประเด็น คือ 1.องค์ประกอบของคณะกรรมการ และ 2.ขอบข่ายอำนาจหน้าที่ โดยที่ประชุมไม่ติดใจในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดดังกล่าว แต่ติดใจเรื่องขององค์ประกอบของคณะกรรมการที่ประกอบด้วย ส.ส.และ ส.ว.จำนวน 30 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คน ที่ส่วนใหญ่มาจากภาคการเมือง แต่มีภาคประชาชนน้อยมาก รวมถึงภาคของผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากภาคการเมือง จึงอาจไม่มีความเป็นอิสระจากการเมือง ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีตัวแทนจากภาคประชาชน เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติเห็นด้วยกับการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวของ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา เพราะกรรมการชุดดังกล่าวจะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1.รวบรวมประเด็นปัญหาทางการเมือง เพื่อนำมาศึกษาแก้ไข 2.รวบรวมประเด็นปัญหาความขัดแย้งของรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การแก้ไข 3.ให้ทุกภาคส่วนร่วมมือนำไปสู่ความสมานฉันท์ปรองดองของคนในชาติ

นพ.วรงค์ กล่าวว่า ในส่วนโควตาคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 8 คนนั้น ยังเร็วเกินไปที่จะส่งรายชื่อในเย็นวันนี้ อีกทั้งขณะที่มีการประชุมพรรค ทางวิป ส.ว.ได้ประสานมายัง นายชินวรณ์ ว่า ยังไม่สามารถส่งรายชื่อได้เช่นกัน ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ทางพรรคได้มอบหมายให้ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค เป็นประธานคณะกรรมการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงได้มอบหมายให้ นายบัญญัติ เป็นผู้รวบรวมรายชื่อบุคคลที่จะเป็นคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมือง โดยให้ผู้ที่สนใจเสนอรายชื่อต่อ นายบัญญัติ เพื่อพิจารณาคัดเลือก ก่อนส่งรายชื่อให้ นายชินวรณ์ เสนอต่อ นายชัย ต่อไป ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิสองคนในสัดส่วนของพรรคนั้น นายชินวรณ์ จะนำไปหารือร่วมกับทางวิปรัฐบาลเพื่อพิจารณาคุณสมบัติว่าใครบ้างที่มี คุณสมบัติเหมาะสม

นพ.วรงค์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการพูดถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งยังไม่ได้มีข้อยุติ โดยเห็นว่า ควรรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการชุดดังกล่าวก่อน แต่ประเด็นการนิรโทษกรรมในประเด็นการเมืองนั้น ที่ประชุมเห็นว่าให้เป็นอำนาจของทางประธานสภา

ขณะที่ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุม ส.ส.พรรคเห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อความ ปรองดองและสมานฉันท์ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเห็นว่า การตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวต้องคำนึงถึง 2 หลักการ คือ การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนอย่างหลากหลาย โดยมีความเป็นอิสระและเป็นกลาง และต้องมีอำนาจหน้าที่ในการแก้ปัญหาเชิงระบบ ไม่ได้ดูถึงปัญหาตัวบุคคล เพื่อนำไปสู่ความสมานฉันท์ ซึ่งภารกิจดังกล่าวจะต้องมีการดำเนินการใน 4 เรื่อง คือ 1.การเสริมสร้างและการรักษาความสงบในการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ 2.รับฟังความเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน 3.พิจารณาระบบกฎหมายทั้งหมด โดยต้องเชื่อมโยงถึงความถูกต้องคงความเป็นนิติรัฐ รักษานิติธรรม และ 4.พิจารณาสาระการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งในระหว่างการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ สภาจะต้องชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การปรองดองแห่งชาติ ที่พรรคเพื่อไทย นำเสนอ เพื่อให้คณะกรรมการได้ศึกษาภาพใหญ่ของสังคมได้

ด้าน นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตัวบุคคลจำนวน 8 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นผู้คัดเลือกจากผู้เสนอตัว ประกอบไปด้วย นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม นายถวิล ไพรสณฑ์ ส.ส.กทม.นายนิพนธ์ วิศิษฎ์ยุทธศาสตร์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช นางผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม นายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง และ นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิอีกสองคน คือ นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ อธิการบดีสถาบันนิด้า และ นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสภาบันพระปกเกล้า

"วิปฝ่ายค้าน" ตั้งแง่เบี้ยวส่งคกก.แก้ไขรธน.หนุน"เหนาะ"นั่งหัวโต๊ะ

ปธ.วิปฝ่ายค้าน ตั้งเงื่อนไขตั้งแต่ไก่โห่ ยันจะไม่ส่งตัวแทนเข้าร่วมคกก.แก้ไขรัฐธรรมนูญ หากรัฐบาลไม่ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเหตุสลายม็อบเสื้อแดง ดันก้น"ป๋าเหนาะ"อ้างความเป็นกลางทางการเมืองนั่งปธ.กรรมการ

วันนี้ (29 เม.ย.) นายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้เตรียมบุคคลเข้าร่วมในคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อ ความปรองดอง สมานฉันท์ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่หากในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการชุดติดตามหาข้อเท็จจริง เรื่องวิธีการที่รัฐบาลใช้สลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงควบคู่ไปด้วย พรรคก็คงไม่ขอส่งคนเข้าร่วมในคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการเมืองฯ รวมทั้งกระบวนการอื่น ๆ ที่จะมีการนำเสนอในอนาคตแน่นอน เพราะเห็นว่า ช่องทางในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร น่าจะสามารถดำเนินการตั้งคณะกรรมาธิการในส่วนที่เสนอได้

ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวต่อถึงข้อเสนอเรื่องให้ นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาทางการเมืองเพื่อความปรองดอง สมานฉันท์ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า พรรคเพื่อไทย ขอสนับสนุน เพราะที่ผ่านมา นายเสนาะก็แสดงจุดยืนที่ชัดเจนแล้วว่ามีความเป็นกลางทางการเมืองไม่เข้าข้าง ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

“อีเพ็ญ” ซาดิสต์! ปลุกระดมโจรหางแดง หยิบอาวุธโค่นรัฐบาล

“จักรภพ” แหกปากผ่านสื่อเทศระหว่างหนีหมายจับศาล ปลุกระดมเสื้อแดงเลิกใช้สันติวิธีขับไล่รัฐบาล เผยสันดานดิบปั่นหัวแดงถ่อยหยิบอาวุธเข้าห้ำหั่นเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง ใหม่ ประกาศศักดาขอเป็นผู้นำขบวนการใต้ดินล้มล้างรัฐบาล

วันนี้ (28 เม.ย.) นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาในหมายจับของศาลอาญาไทย ฐานะแกนนำ นปช. และผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง ที่กำลังหลบหนีอยู่นอกประเทศในขณะนี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับนายโจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำประเทศไทย ผ่านทางโทรศัพท์จากสถานที่ที่ไม่มีการเปิดเผยว่า ต่อจากนี้การเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้วิธีการใน การต่อสู้กับรัฐบาลที่มาอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจรวมถึงการใช้อาวุธเข้าต่อสู้เพื่อให้ได้มีการเลือกตั้งใหม่ ได้รัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน

นายจักรภพกล่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดงและประชาชนที่รักประชาธิปไตย จะขับไล่รัฐบาลต่อ แต่จะไม่ใช้การประท้วงแบบเดิมที่เสียเวลานานเกิน การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินรุนแรงของรัฐบาลจะยิ่งทำให้ให้ประชาชนเริ่มมีการต่อสู้ทาง ใต้ดิน หรือแบบลับๆ มากขึ้น เพราะในตอนนี้บริเวณและพื้นที่การเรียกร้องการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงโดย แบบอหิงสา หรือสันติวิธีไม่มีการความรุนแรงเป็นไปได้ยากมากขึ้นนั้น อาจรวมไปถึงการใช้อาวุธต่อสู้กับรัฐบาล เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ให้ได้

“เทพเทือก” แฉเสื้อแดงเลิกใช้บริการโฟนอิน “แม้ว” ปลุกขวัญ ดึงคนเดือนตุลาเป็นแกนนำ

รองนายกฯ ด้านความมั่นคง มั่นใจกลุ่มเสื้อแดงจ้องล้มล้างระบอบปกครอง ปรับกลยุทธ์เลิกใช้บริการ “แม้ว” โฟนอินปลุกขวัญ ดึงคนเดือนตุลาคมเป็นแกนนำร่วมขบวนการใต้ดิน ยอมรับยังไม่รู้ทิศทางประเทศในอนาคต

วันนี้ (28 เม.ย.) นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทั่วไปในขณะนี้ว่า ค่อนข้างสงบพอสมควร ซึ่งความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่าง ๆ นั้นมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายก็เป็นไปด้วยดี ทุกฝ่ายยังเคารพกฎหมายอยู่และในที่ประชุมครม.วันนี้คงไม่มีการนำเรื่องเหล่า นี้ไปคุยกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าการปรับเปลี่ยนท่าทีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะไม่ใช้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นหัวขบวนนำแล้ว จะทำให้การเคลื่อนไหวอ่อนลงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับท่าทีเขา ก็ต้องดูกันต่อไป เมื่อถามว่ามีความพยายามดันคนเดือนตุลาขึ้นมาเป็นคนนำการเคลื่อนไหว รัฐบาลได้มีการจับตาอย่างไรบ้าง รองนายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ได้ติดใจว่าตัวบุคคลที่นำจะเป็นใคร เพียงแต่คอยดูแลว่าขบวนการทั้งหลายอย่าให้เป็นพิษเป็นภัยต่อระบอบการปกครอง เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง แต่กรณีนี้ก็คงต้องติดตามดูกันไปก่อน

เมื่อถามว่าจะทำให้สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนยังไม่คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น แต่ตนมีหน้าที่ที่จะติดตามและพยายามหาทางป้องกัน เมื่อถามว่าคนกลุ่มนี้เขาพยายามจะย้อนยุคไปในช่วงความขัดแย้งของสังคมไทยใน อดีต นายสุเทพ กล่าวว่า สิ่งที่นายกฯพูดไว้ในการประชุมร่วมรัฐสภาที่ผ่านมา มีคำตอบชัดเจนว่าจุดยืนของรัฐบาลเป็นอย่างไร และจะสามารถนำบ้านเมืองไปสู่ความสงบเรียบร้อย ส่วนความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน การเรียกร้องสิ่งที่เป็นความเชื่อของตนเอง เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ขัดขวางอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีการวิเคราะห์จากหลายฝ่ายว่ากำลังมีกลุ่มอำนาจไม่ทราบฝ่ายที่จะมาจัด ตั้งขั้วอำนาจใหม่ที่ไม่ใช่เหลือง แดง หรือประชาธิปัตย์ ออกมามีบทบาทในขณะนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่เห็นข่าวนี้เลย

เมื่อถามว่ามีข่าวกลุ่มซ้ายจัดพยายามที่จะเข้ากับกลุ่มเสื้อแดงในการ เคลื่อนไหวใต้ดินเพื่อลอบสังหารผู้นำ ฝ่ายความมั่นคงได้ติดตามเรื่องนี้อย่างไร รองนายกฯ กล่าวว่า ตนพยายามให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบติดตามอยู่ เมื่อถามว่ากรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข จะสอดคล้องกับทางพรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงที่นำคนเดือนตุลามาเคลื่อนไหว ใหม่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบ และยังไม่รู้ว่านายจักรภพ จะพูดอะไรอีกหรือไม่