“เฉลิม” โชว์ลีลาดาวสภา จวกแหลก “อภิสิทธิ์” ระบุการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นโมฆะ ขณะที่ “อภิสิทธิ์” ปลุกเวทีรัฐสภา ร่วมกันขวางพวกจาบจ้วงสถาบัน ฟ้องสภา “ทักษิณ” บิดเบือนโจมตีสถาบัน ระบุเจอกลุ่มผู้ชุมนุมจ้องฆ่า วอน ส.ส.-ส.ว.มุ่งหาทางออกฟื้นศรัทธาให้ประชาชนพร้อมรับฟัง เตือนรักษาภาพ หากขัดแย้งความล้มเหลวจะมาเยือน “ชวรัตน์-บุญจง-ถาวร” ขันน็อตผู้ว่าฯ-นายอำเภอ ใช้กฎหมายคุมเข้มตรวจสอบเคเบิ้ลทีวีปลุกมวลชน จาบจ้วงสถาบัน ด้านโฆษกมหาดไทย วอนคนไทยเลิกแบ่งภาค แบ่งสี หวั่นเป็นเครื่องมือทำร้ายชาติ ตำรวจยื่นคำร้องขอควบคุมตัว 3 แกนนำ นปช. อีก 7 วัน กองคดีเผย คดี พธม.ถูกแจ้งดำเนินคดี 240 คดี ขณะที่ นปช.ถูกแจ้ง 103 คดี ส่วน เลขาฯตุลาการศาล รธน. รุดหารือตำรวจนครบาล เพิ่มกำลังคุมเข้มความปลอดภัย ถามความคืบหน้าคดียิงเอ็ม 79 พอใจ ผบช.น. ยอมรับความบกพร่อง รับปากปรับกำลังพลดูแลเต็มที่ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” เปลี่ยนทีมรักษาความปลอดภัยยกชุด ใช้ทหารเสือราชินี ร.21 แทน ศรภ. ขณะที่ ฟอร์ด ส่งรถโฟล์วีลกันกระสุนคันละ 6 ล้านให้ทดลองใช้ฟรี ด้าน พรรคเพื่อไทย ปูดข่าว “ทักษิณ” เตรียมเดินทางเข้าไทย แต่ “เจ๊แดง” ให้ ส.ส.ขอร้องไว้ว่าไม่ปลอดภัย ส่วน “นภดล” เผย “ทักษิณ” เตรียมส่งทนายแจ้งความ “กษิต” ข้อหาหมิ่น หลังกล่าวหาเชื่อมโยงลอบฆ่า “สนธิ”
ที่กระทรวงมหาดไทย เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 เม.ย. นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว. มหาดไทย เป็นประธานการประชุมกระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ 4/2552 โดยมีผู้บริหารระดับสูง อาทิ ปลัดกระทรวง อธิบดีหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังผู้ว่า ราชการจังหวัดทั่วประเทศ ว่า ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่คับขันวิกฤติต่อความอยู่รอด และความสงบเรียบร้อยของชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลจึงต้องใช้ความอดทน อดกลั้น จากการยั่วยุของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ให้เกิดความแตกแยกและความรุนแรงในบ้านเมือง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกระทรวงมหาดไทย ได้ แสดงให้เห็นว่า การชุมนุมทางการเมืองไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไป เพราะไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่เป็นการปลุกระดมผู้ชุมนุมให้เกิดความเคียดแค้น เกลียดชัง และปรารถนาจะกระทำรุนแรงต่อ ฝ่ายตรงกันข้าม แม้กระทรวงมหาดไทยจะเกิดความเสียหายจากการกระทำของผู้ชุมนุมไปบ้าง แต่ก็ได้ทำให้สังคมได้เข้าใจอะไรดีขึ้น และนำไป สู่การบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ทำให้มีผู้เสียชีวิต มีแต่ผู้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งรัฐบาลได้ประชุมเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาแล้ว
“ชวรัตน์” ขันนอตผู้ว่าฯนายอำเภอ
นายชวรัตน์ กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่าการปลุกระดมมวลชนต่าง ๆ ในขณะนี้ทำได้ง่ายโดยผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เคเบิลทีวี และวิทยุชุมชน ซึ่งยังไม่มีหลักเกณฑ์การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดและทั่วถึง จึงอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำอันหมิ่นเหม่ต่อสถาบันได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการกระทำผิดต่อความมั่นคงตามมาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา ขอให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ได้ตรวจสอบการกระทำดังกล่าว หากพบการกระทำผิดซ้ำ ๆ และไม่ให้ความร่วมมือ ให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เช่น เคเบิลทีวีที่ใช้บริการพาดสายส่งสัญญาณบนเสาของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่มีสัญญาว่าผู้ประกอบการต้องไม่ใช้สายส่งสัญญาณไปในทางที่ผิดกฎหมาย แต่หากมีการกระทำผิดสัญญาก็สามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันที
เคเบิลทีวีแพร่ข้อมูลจาบจ้วง
ส่วน นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช. มหาดไทย กล่าวย้ำว่า สาเหตุที่สถานการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมารุนแรงขึ้นมาจากการรับรู้ข่าวสาร เพียงด้านเดียว ผ่านเคเบิลทีวี รวมถึงสถานีวิทยุชุมชนที่สร้างข่าวให้เกิดความแตกแยก และยุยง ส่งเสริมให้ต่อต้านรัฐบาลนั้น ทางผู้ว่าฯ นายอำเภอ ต้องเร่งดำเนินการควบคุมวิทยุชุมชน และเคเบิลทีวีให้ชัดเจน และเข้มข้นมากขึ้น โดยต้องตรวจสอบว่ามีเคเบิลทีวี และวิทยุชุมชนใด ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลจาบจ้วง ใส่ร้ายสถาบัน และปลุกระดมยั่วยุให้เกิดความแตกแยกและความกระด้างกระเดื่องต่อประชาธิปไตย หรือไม่ หากตรวจสอบพบ ผู้ว่าฯ นายอำเภอจะต้องไปเจรจาทำความเข้าใจ เพื่อให้เจ้าของสถานียุติการเผยแพร่ดังกล่าว แต่หากยังมีดำเนินการซ้ำอีกก็จะต้องรายงานมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้นต่อไป หากพบว่ามีความผิดก็สามารถจับกุมได้ แม้ว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งให้แต่ละจังหวัดปรับปรุงงานข่าวทุกระดับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
มหาดไทยวอนเลิกแบ่งภาค-สี
ด้าน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความมั่นคง และโฆษกมหาดไทย ฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าวถึงกรณีมีบุคคลออกมาพูดจาในลักษณะที่ปราศจากการสร้างสรรค์ที่ดีแก่ สังคมในขณะนี้ ระบุว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองเสื้อแดงจะไม่มีวันรวมตัวกันได้ เพราะปัญหามาไกลมากแล้ว เป็นความแตกต่างทางความคิดที่มีต่อประเทศชาติอย่างสิ้นเชิงว่า ไม่เป็นความจริง ต้องถือเป็นการมองโลกในแง่ร้าย มีความมุ่งร้ายต่อชาติบ้านเมืองของตนเอง เพราะความจริงพื้นฐานแห่งปัญหา หาได้มีที่มาจากความแตกต่างทางความคิดของผู้คนพลเมืองที่ล้วนเป็นคนไทยด้วย กัน สังคมไทยต้องร่วมกันเสริมสร้างปรับเจตคตินิยมกันใหม่ เพื่อเป็นการจรรโลงรักษาคุณลักษณะประจำชาติ ให้อยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้ โดยพิจารณาช่องทางของปัญหาที่เกิดขึ้นสาเหตุจากอะไร สิ่งใดที่ทำให้การหยิบยื่นข้อมูลข่าวสาร ในลักษณะที่เป็นบ่อนทำลายกลายเป็นเรื่องธรรมดาในเวลานี้ ล้วนถือเป็นภยันอันตรายอันแรกต่อความมั่นคงของชาติ ที่สำคัญเราทุกคนจะต้องไม่ลืมข้อเท็จจริง ทุกคนต่างเป็นคนไทยด้วยกันประชาชนคนไทยจะแบ่งแยกกันเป็นภาค เป็นจังหวัดหรือเป็นสีของสังคมไม่ได้อีกต่อไป ทุกฝ่ายจะต้องเร่งรัดสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือให้กับผู้มุ่งร้ายที่คิดล้มล้างประเทศชาติของเรา อีกต่อไป
“อภิสิทธิ์” ใช้ทหาร ร.21 เป็นรปภ.
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์การลอบทำร้าย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในหลายกรณี และมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัย และการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) จนมีข่าวว่า นายอภิสิทธิ์จะปรับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดนั้น ปรากฏว่าในวันนี้ การอารักขาและรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีได้มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ ศรภ.ได้ถูกส่งตัวกลับทั้งหมด และได้นำหน่วยเคลื่อนที่เร็วจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (ร.21 รอ.) ค่ายนวมินทราชินี ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี มาทำหน้าที่แทน และยังคงใช้เจ้าหน้าที่ทหารจากกองพันทหารสารวัตรที่ 11 มาทำหน้าที่เป็นรถนำขบวน และคงใช้การอารักขารักษาความปลอดภัยมาตรการชั้นสูงสุดเช่นเดิม ทั้งนี้ ในส่วนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้เปลี่ยนเจ้าหน้าที่ ศรภ.มาใช้ทหารจาก ร.21 ด้วย
ฟอร์ดมอบรถกันกระสุน 2 คัน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เย็นวันเดียวกัน ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ ฟอร์ด ได้นำรถยนต์โฟร์วีล ฟอร์ด เอเวอเรสต์ 2 คันมามอบให้ชุดรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ทดลองใช้ โดยรถดังกล่าวได้ประกอบขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษต่างจากรถฟอร์ด เอเวอเรสต์ทั่วไป ที่จำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากใช้กระจกนิรภัยกันกระสุนรอบคัน ส่วนตัวถังใช้วัสดุที่มีความหนาแน่นเป็นกรณีพิเศษ ชนิดที่ปืนไรเฟิลยังไม่อาจยิงทะลุได้ ขณะที่ล้อยางมีคุณสมบัติพิเศษ แม้จะถูกยิงจนยางแตก ก็ยังสามารถประคองรถต่อไปได้ ทั้งนี้รถรุ่นดังกล่าวจะผลิตและส่งออกไปยังประเทศที่มีภาวะสงคราม อาทิ ประเทศอัฟกานิสถาน ประเทศอิรัก ฯลฯ โดยมีราคาประมาณ 5-6 ล้านบาท
ตำรวจฝากขัง 3 แกนนำ นปช.
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการควบคุมตัว นายวีระ มุสิกพงศ์ อายุ 61 ปี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อายุ 34 ปี และ นพ.เหวง โตจิราการ อายุ 58 ปี แกนนำ นปช.ผู้ต้องหาที่ 1-3 คดีปลุกระดมมวลชนโดยวิธีการใด เพื่อให้ละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อความวุ่นวายขึ้นในเมืองก่อความไม่สงบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และมาตรา 215 ซึ่งศาลอนุญาตให้ควบคุมตัวไว้ตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. นั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มาจนจะครบ 7 วันในวันที่ 22 เม.ย.แต่จากการสืบสวนหาข่าวพบว่า แกนนำ นปช.บางส่วนยังมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และนายจักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในแกนนำ นปช.ซึ่งยังไม่ได้ ถูกจับกุม ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนทำนอง ว่า ตอนนี้ผู้คนกำลังหงุดหงิดมาก และพร้อมต่อสู้ เราคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเยอะ และการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบอย่างแน่นอน เราวางแผนว่า จะเคลื่อนไหวใต้ดินนานตราบเท่าที่ทำได้ ซึ่งสอดคล้องกับคำปราศรัยของนายวีระ ขณะสั่งกับผู้ชุมนุมว่า ให้สลายตัวไปก่อนแล้วจะกลับมาต่อสู้กันใหม่ ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอศาลอนุญาตขยายเวลาควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสาม ต่อไปอีกมีกำหนด 7 วันตั้งแต่วันที่ 22-29 เม.ย.นี้
ศาล รธน.พบตำรวจให้ช่วยดูแล
เมื่อเวลา 10.40 น. นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และคณะทำงาน เข้าพบ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. พร้อมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เพื่อหารือมาตรการดูแลความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และพื้นที่โดยรอบ พร้อมจัดกำลังตำรวจคุมเข้ม เพิ่มความถี่ในการตรวจตรารักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น ภายหลังเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 ยิง ใส่ที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง นายพสิษฐ์ กล่าวว่า ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลรับปากจะปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิด ขึ้นให้ดีที่สุด พร้อมทั้งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลให้เข้มงวดมากขึ้นทั้งบริเวณศาล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และข้าราชการให้มีความปลอดภัย ขณะที่บ้านพักของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นได้จัดกำลังตำรวจไปดูแลแล้ว
ด้าน พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าวว่า ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจอยู่ระหว่างการสืบสวนคลี่คลายคดี พร้อมตรวจสอบความบกพร่องที่เกิดขึ้น ว่ามีความหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบดูแล ความสงบเรียบร้อยรักษาความปลอดภัยหรือไม่อย่างไร เพื่อนำมาปรับแก้การปฏิบัติงานต่อไป โดยสั่งการให้ พล.ต.ต.วิทยา รัตนวิชช์ ผบก.น.6 เพิ่มกำลังเจ้า หน้าที่ตำรวจเข้าไปดูแลให้เข้มงวดมากขึ้น ส่วนจะใช้กำลังมากน้อยแค่ไหนอย่างไรนั้นคงไม่สามารถเปิดเผยได้
นครบาลคุมเข้มเสื้อแดงทำบุญ
เมื่อเวลา 15.30 น. พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ โฆษก บช.น. กล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ ชุมนุมเสื้อแดงจะมาทำพิธีทำบุญที่สามเหลี่ยมดินแดง ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ว่า เรื่องนี้กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ก็ได้รับการกำชับมาจาก กอฉ.ตร.ให้ตรวจสอบและดูแลเรื่องนี้ หากเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลก็คงทำได้ แต่หากมีการแอบแฝง ชุมนุมเรื่องการเมืองคงทำไม่ได้เพราะมี พ.ร.ก.ฉุก เฉินอยู่ ซึ่งเชื่อว่าไม่น่ามีมือที่ 3 เข้ามาเพราะมี พ.ร.ก.อยู่ ส่วนกลุ่มเสื้อแดงที่ถูกออกหมายจับ 20 คน หลังก่อเหตุที่กระทรวงมหาดไทย ขณะนี้ยังไม่มีการติดต่อเข้ามา ซึ่ง บช.น.ก็ให้ รอง ผบช.น.แต่ละท่านรับผิดชอบหมายจับ ซึ่ง บก.ก็รับหน้าที่ไปติดตามแล้วโดยแบ่งงานให้กองสืบแต่ละแห่งคอยติดตาม และให้เปิดเผยความคืบหน้าเวลา 18.00 น. ของทุกวัน
เอแบคสำรวจหัวอกตำรวจ
ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัย เอแบคโพล เผยผลสำรวจเรื่อง หัวอกตำรวจ-ประชาชนท่ามกลางความขัดแย้ง ตำรวจ 429 นาย ประชาชน 17 จังหวัด 1,763 ตัวอย่าง ภายใน 8 ชม.พบว่าร้อยละ 74.7 ต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ดำเนินคดีกับทุกคน ร้อยละ 78.1 อยากให้ผู้บังคับบัญชา ดูแลเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของลูกน้อง ร้อยละ 59.7 คิดว่าเจ้าหน้าที่ทำตามมาตรฐานสากลแล้ว ร้อยละ 76.8 ได้รับความเดือดร้อนมาก ต่อการชุมนุมประท้วง และเป็นอุปสรรคต่อการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 80.9 รู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนประเด็นให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตำรวจอยากให้ยกเลิก ทันที แต่ประชาชนอยากให้รออีกสักระยะหนึ่ง
กองคดีแจงเกี่ยวกับการชุมนุม
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองคดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สรุปคดีเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วง ถึงวันที่ 15 เมษายน กรณีพันธมิตรฯถูกร้องทุกข์กล่าวโทษทั้งหมด 240 คดี ในเขตนครบาลทั้งหมด 109 คดี รู้ตัวผู้กระทำผิด 31 คดี ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด 10 คดี บช.ภ.1 จำนวน 47 คดี บช.ภ.2 จำนวน 19 คดี บช.ภ.3 จำนวน 15 คดี บช.ภ.4 จำนวน 10 คดี บช.ภ.5 จำนวน 36 คดี บช.ภ.9 จำนวน 1 คดี สำหรับกรณีพันธมิตรฯ เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ทั้งหมด 30 คดี แยกเป็น บช.น. รู้ตัวผู้กระทำผิด 5 คดี ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด 9 คดี บช.ภ.1 จำนวน 4 คดี บช.ภ.3 จำนวน 5 คดี บช.ภ.5 จำนวน 7 คดี
ส่วนกรณีเสื้อแดงหรือ กลุ่ม นปช. ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษทั้งหมด 103 คดี ใน บช.น. 54 คดี เป็นช่วงประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน บช.ภ.1 จำนวน 8 คดีกรณีทุบรถ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี บช.ภ.2 จำนวน 3 คดีกรณีขัดขวางการประชุมอาเซียน บช.ภ.3 จำนวน 2 คดี บช.ภ.4 จำนวน 9 คดี บช.ภ. 5 จำนวน 27 คดี ซึ่งคดีทั้งหมดบางส่วนอยู่ระหว่างการสอบสวน บางส่วนได้สอบสวนเสร็จแล้ว
“ชัย” เปิดประชุมร่วมสองสภา
ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. มีการ ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เป็นประธานในที่ประชุม ได้พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป ตามรัฐธรรม นูญมาตรา 179 โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ขอเปิดการประชุม เพื่อรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภากรณีปัญหาการสลายการชุมนุมของกลุ่ม ประชาชนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เริ่มประชุม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นอภิปรายเพื่อสรุปสถานการณ์ที่ผ่านมาว่า ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้ตระหนักและมุ่งมั่นแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมมาตลอด โดยรัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการเรียกร้องปัญหาต่าง ๆ มาตลอด แต่การชุมนุมทางการเมืองในช่วงก่อนสงกรานต์แม้ส่วนใหญ่จะเป็นไปด้วยความ บริสุทธิ์ใจ แต่ปรากฏว่ามีแกนนำบางคนเปลี่ยนแกนนำการชุมนุมเป็นการใช้ความรุนแรง ดังปรากฏได้จากเหตุการณ์วันที่ 7 เม.ย.ที่พัทยา จ.ชลบุรี เรื่อยมาจนถึงวันที่ 9 เม.ย. ที่มีการปิดถนนและสี่แยกใน กทม. จนถึงการขัดขวางการประชุมอาเซียนและคู่เจรจา ทำให้รัฐบาลต้องประกาศเลื่อนการประชุมดังกล่าวออกไป ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศและภูมิภาคเป็นอย่างมาก การกระทำอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาล ก็ใช้ความอดทนอดกลั้นไม่ใช้ความรุนแรง และได้มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินที่เมืองพัทยา และมีการยกเลิกในค่ำวันเดียวกันหลังจากสถานการณ์สงบ และมีการประกาศใช้พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินใน กทม. โดยมีการแถลงข่าวที่กระทรวงมหาดไทยในวันที่ 12 เม.ย. เพราะถ้าปล่อยไว้จะทำให้ความเป็นนิติรัฐสิ้น สุดลง เท่ากับว่าเปิดโอกาสให้สามารถใช้ความรุนแรงโดยไม่ผิดกฎหมายได้
“อภิสิทธิ์” ระบุถูกมุ่งหมายฆ่า
“แต่ปรากฏว่าระหว่างเดินทางออกจากกระทรวงมหาดไทย มีผู้ชุมนุมจะเข้ามาทำร้าย ซึ่งพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามุ่งหมายจะฆ่าตัวผม แต่ในที่สุดก็สามารถออกมาได้ จึงได้หารือกับฝ่ายความมั่นคง โดยมอบนโยบายให้กับฝ่ายปฏิบัติการว่าต้องไม่ใช้ความรุนแรง แต่การปฏิบัติการจะเป็นเพียงแค่การทำให้บ้านเมืองคลี่คลายสถานการณ์ให้ ประเทศกลับสู่ภาวะความสงบเท่านั้นไม่ใช่เป็นการปราบปราม ซึ่งการปฏิบัติการสามารถคลี่คลายสถานการณ์ใน กทม. เป็นที่น่าพอใจ เหลือเพียงการชุมนุมรอบบริเวณทำเนียบฯเท่านั้น จนในที่สุดวันรุ่งขึ้นได้มีการคุยกับแกนนำ และสลายการชุมนุมในเวลาต่อมา จากนั้นแม้ว่าการชุมนุมจะเลิกไปแล้วแต่ก็ยังมีการชุมนุมในบริเวณใกล้เคียง เช่น วังแดง สนามหลวง เป็นต้น แต่ฝ่ายความมั่นคงก็มีการพูดคุยกันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง และขอให้มีการพูดคุยกันเพื่อให้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลมอบเอาไว้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
เสียใจกับเหตุการณ์ที่นางเลิ้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการดำเนินคดีชัดเจนว่าแม้มีผู้กระทำความผิดกฎหมายโดยจะมีการ ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.ก.ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงเราจะไม่ดำเนิน การอะไรเพราะไม่ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาได้ ส่วนเรื่องผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต มีผู้เสียชีวิต 2 คน ซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและประชาชนย่านนางเลิ้ง ไม่ใช่มาจากส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ในเวลานั้นเจ้าหน้าที่พยายามเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์แล้ว แต่เข้าไปไม่ทัน พวกเราทุกคนขอแสดงความเสียใจ ส่วนเรื่องผู้ได้รับบาดเจ็บ มีทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืน เป็นทหาร 4 นาย และประชาชน 2 ราย ซึ่งกระสุนปืนดังกล่าวไม่ใช่มาจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ส่วนการพบผู้เสียชีวิต 2 ศพในแม่น้ำเจ้าพระยา ได้สอบสวนพยานพบว่า 2 คนที่เสียชีวิตไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมแต่อย่างใด
หวังให้รัฐสภาช่วยชี้ทางออก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้การปฏิบัติการที่ผ่านมาเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนตัวยอมรับว่าตอนนี้มีข้อสงสัยจากส่วนต่าง ๆ หวังว่าการประชุมรัฐสภาวันเดียวกันนี้ จะเป็นเวทีมาร่วมกันหาทางออกรัฐบาลพร้อมชี้แจงข้อสงสัยทุกประเด็น วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ผู้แทนปวงชนชาวไทยจะต้องตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เวที รัฐสภาสร้างให้ประชาชนเกิดความศรัทธาต่อระบบรัฐสภา และใช้เป็นสถานที่ร่วมกันหาทางออกและสมานแผล หรือจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง รัฐบาลคิดว่าความคิดเห็นของทุกฝ่ายเป็นความคิดที่บริสุทธิ์ และพร้อมรับฟังข้อเรียกร้อง ซึ่งรัฐบาลก็ได้เสนอไว้แล้ว เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการปฏิรูปการเมือง ซึ่งได้มอบให้พรรคร่วมรัฐบาลนำเสนอต่อรัฐบาลภายใน 2 สัปดาห์ และจะเป็นการดีหากฝ่ายค้านและ ส.ว.จะร่วมกันเสนอความคิดเห็นด้วย
รัฐบาลพร้อมรับฟังความเห็น
“อย่างไรก็ตาม 2 วันที่ผ่านมาได้มีการเคลื่อนไหวของคนบางกลุ่มที่อ้างอิงภาพนิ่งและภาพ เคลื่อนไหว ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งลักษณะนี้จะเป็นการอาศัยเงื่อนไขให้มีการปลุกระดมให้เกิดสถานการณ์ก่อน ช่วงสงกรานต์อีกครั้ง ซึ่งคิดว่าคนที่มีหัวใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจะต้องไม่มีความคิดแบบนี้ เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียประชาธิปไตย ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏคำให้สัมภาษณ์ของคนบางคนผ่านสื่อต่างประเทศ ที่พยายามทำให้เกิดความขัดแย้ง โดยมีบางคำพูดที่ไม่เหมาะสม มีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสถาบันนี้อยู่เหนือความขัดแย้งทุกประการ และยังมีแกนนำบางคนให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า จะเปลี่ยนแนวทางการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง ดังนั้นผมอยากเห็นผู้แทนปวงชนชาวไทยร่วมกันปฏิเสธแนวทางนี้ และรัฐบาลจะพร้อมรับฟังเพื่อให้ทุกอย่างสามารถเดินไปได้ ถ้าผู้แทนปวงชนทำได้จะไม่มีใครชนะนอกจากประชาชนและประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข และถ้าการประชุมช่วง 2 วันนี้ของพวกเราเกิดความขัดแย้ง ก็เท่ากับว่าเรากำลังล้มเหลวในการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันหาทาง ออก รัฐบาลพร้อมรับฟังและพร้อมชี้แจง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ระบุรัฐปฏิบัติสองมาตรฐาน
จากนั้นสมาชิกรัฐสภาได้ผลัดกันลุกขึ้นอภิปราย โดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้โจมตีการทำงานของรัฐบาลว่าดำเนินการสองมาตรฐาน โดยเทียบกันระหว่างการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ กับการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. พร้อมกับชูภาพของนายวิเชียร ขีดกลาง กลางที่ประชุม โดยระบุว่า ถูกยิงด้วยกระสุนปืนของทหารจากการสลายการชุมนุม นอกจากนี้ยังขอให้นายกรัฐมนตรีชี้แจงถึงภาพของบุคคลนอกรัฐบาลที่ไปปรากฏตัว ที่พัทยา ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้น และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีคืนอำนาจให้ประชาชนในการตัดสินใจเลือกตั้งอีก ครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีการโจมตีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง ที่ออกโทรทัศน์ระบุว่ากลุ่ม นปช.เป็นคนยิงปืนเอ็ม 79 ใส่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเรียกร้องให้ชี้แจงให้ชัดเจน เพราะถือเป็นการราดน้ำมันบนกองไฟ และอยากให้ชี้แจงด้วยว่านายกฯยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย หรือเผด็จการ
“อภิสิทธิ์” ลุกชี้แจงคนต่อคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ได้ลุกขึ้นชี้แจงสมาชิกรัฐสภาแบบคนต่อคน โดยนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า เรื่องสองมาตรฐาน หลายเรื่องไม่ได้เกิดในสมัยที่ตนเป็นรัฐบาล และไม่ควรจะให้เกิดสีอื่นขึ้นมาอีกในสังคมไทย ส่วนเรื่องที่มีบุคคลนอก ครม.เข้ามาเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงนั้น นายสุเทพ เป็นผู้ดูแลและจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้เอง ตนมารับผิดชอบด้านความมั่นคงภายหลังจากมีการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว รัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดกลุ่มมวลชนเพื่อทำให้สถานการณ์ยุ่งยากมาก ขึ้น จนถึงวันนี้ยังไม่มีผู้ป่วยรายใดได้รับบาดเจ็บจากอาวุธสงคราม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้มีการดำเนินการ 2 มาตรฐานกับคดีของกลุ่มพันธ มิตรฯ และ นปช.เพราะในคดีของ พธม.ที่มีการยึดทำเนียบรัฐบาล และการบุกรุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ที่ได้มีการสอบปากคำเสร็จแล้ว และพร้อมส่งให้อัยการดำเนินการ ส่วนการยึดสนามบินดอนเมือง อยู่ในระหว่างการสอบปากคำพยานอีก 292 ปาก และพร้อมสรุปสำนวนภายใน 30 วัน ขณะที่ กรณีการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ สอบปากคำไปแล้ว 198 ปากเหลือพยานสำคัญอีก 4 ราย โดยจะมีผู้ต้องหาไม่น้อยกว่า 28 คน และจะสรุปส่งให้อัยการภายใน 30 วัน
“เทพเทือก” ชี้รถบรรทุกแก๊สจริง
นายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เล่าเหตุการณ์ว่า ได้เข้าไปติดตามการชุมนุม โดยเฉพาะในเขตดินแดง ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงได้ยึดรถแก๊ส และนำไปจอดขวางถนนไว้ ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว เกรงว่าจะเกิดระเบิด ทำให้นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า เป็นการพูดใส่ร้าย พูดเท็จ เพราะเท่าที่ทราบไม่มีแก๊สอยู่ภายในรถแล้ว เพียงแต่ต้องการกดดันเจ้าหน้าที่ไม่ให้ใช้กำลังทำร้ายประชาชนเท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลมีหลักฐานหรือไม่ว่ารถดังกล่าวมีแก๊สจริง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ชี้แจงว่า ข้อเท็จจริงรถแก๊สมีอยู่ 2 คันเป็นของบริษัทสยามแก๊ส โดยบรรจุแก๊ส 8 ตัน และ 4 ตัน เพื่อไปให้ลูกค้าที่ถนนอโศก ได้มีกลุ่ม นปช.100 คน ยึดรถดังกล่าว โดยคันหนึ่งไปจอดสี่แยกดินแดงบริเวณแฟลต 1 และ 2 ส่วนคันที่สองนำไปจอดที่ถนนราชปรารภ หลังจากนั้นได้ย้ายคันที่สองไปจอดขวางที่ถนนศรีอยุธยา ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็พยายามเข้าไปเจรจา และผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมจึงนำไปจอดบริเวณหน้าคิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ พร้อมทั้งขู่ว่าถ้าหากทหารและตำรวจไม่ถอนตัวจะระเบิดรถแก๊สดังกล่าวจึงทำให้ ประชาชนบริเวณดินแดงออกมาต่อต้าน
“สุรพงษ์” โชว์ล้อรถเมล์ถูกเอ็ม16
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายโดยตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลที่มีภาพนาย เนวิน ชิดชอบ อดีตกก.บห.ไปยืนอยู่กับนาย สุเทพ ในวันประชุมอาเซียนที่พัทยา การจับกุมมือลอบวางระเบิดธนาคารกรุงเทพและตึกซีพี ค่าจ้างแค่ 5 พันบาท แต่มือปืนราคาเป็นแสน มีการเผาตอนเช้าจับได้ตอนบ่าย ส่วนกรณี นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ที่ออกข่าวว่าซี่โครงหักเพียงไม่กี่วันก็วิ่งได้แล้ว และอย่างกรณีรถแก๊สถ้าเป็นตนก็คงจะ “ระเบิดแม่งเลย” นอกจากนี้การแถลงข่าวของแพทย์และโฆษกกองทัพบกว่าไม่มีอาวุธปืนจริง แต่กลุ่มผู้ชุมนุมถูกยิงและกระสุนเข้าไปปั่นถือว่าบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่สำคัญเหตุการณ์ทหารยิงรถเมล์สาย 113 ที่ล้อรถมีรูกระสุน 2 แห่งเหมือนสว่านเจาะ คล้ายกับยิงด้วยปืนเอ็ม 16 ซึ่งตนจะส่งไปพิสูจน์ว่าเป็นเอ็ม 16 จริงหรือไม่
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การที่รัฐบาล บอกว่าต้องการความสงบ แต่กลับจะทำแผ่นวีซีดีแจก 1 ล้านแผ่น เพื่อบิดเบือนความจริง แล้วอย่างนี้บ้านเมืองจะสงบได้อย่างไร อยากถามว่านายกฯทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ เห็นคนเสื้อแดงไม่ใช่มนุษย์ถึงจะต้องสั่งทหารให้ยิงทิ้ง ตนเชื่อรัฐบาลสั่งฆ่าประชาชนแน่นอน เพราะกลัวสูญเสียอำนาจ นายกฯต้องรู้เห็นเป็นใจให้คนเสื้อน้ำเงินเข้ามาฆ่าคนเสื้อแดง เพราะมีข่าวมาว่าให้เสื้อแดงเสื้อเหลืองทะเลาะกัน ตีกัน เสื้อน้ำเงินจะได้ครองเมือง นายทหารใหญ่จะได้เป็นนายกฯ ดังนั้นรัฐบาลนี้หมดความชอบธรรม ไม่น่าเชื่อถือ สั่งฆ่าประชาชนอย่างชัดเจน นายกฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นาย สุรพงษ์อภิปรายได้นำภาพถ่ายของผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่อ้างว่าถูกทำร้ายและถูก ยิงจากทหาร ภาพการเล็งปืนของทหารเข้าไปยังกลุ่มเสื้อแดง และนำล้อกระทะรถเมล์ที่มีรอยกระสุนปืน 2 รูใหญ่โดยอ้างว่าเป็นปืนเอ็ม 16 ยิง
ดาหน้ายันรัฐบาลไม่ได้จัดฉาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นคณะรัฐ มนตรีนำโดยนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข และนาย สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่างลุกขึ้นชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยปฏิเสธว่ารัฐบาลไม่ได้จัดฉากหรือใช้ความรุนแรงกับกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งนายสาทิตย์ ได้นำภาพกลุ่มเสื้อแดงได้พกพาอาวุธมาแสดงให้เห็นถึงการใช้ความรุนแรงของการ ชุมนุม โดยระบุว่า ภาพเหตุการณ์เหล่านี้สื่อมวลชนทุกแขนงได้นำเสนอ ซึ่งก็ต้องชื่นชมการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมาทำให้ประชาชนได้ เห็นถึงข้อเท็จจริง ขณะที่นายวิทยา ยืนยันว่า แพทย์ที่รักษากลุ่มเสื้อแดงตนได้กำชับให้ดูแลอย่างเต็มที่ ไม่ได้ดูว่าเป็นคนเสื้อสีไหน ส่วนที่ระบุว่าแพทย์ แถลงกลับไปกลับมาในเรื่องบาดแผลที่ถูกยิงนั้น เพราะแพทย์ไม่มีความรู้เรื่องอาวุธปืนแต่ถ้าอยากรู้เรื่องอาวุธให้มาถามตน ได้
40 ส.ว.จี้รัฐจัดการคนใน ตปท.
ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. นายตวง อันทไชย ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. อภิปรายว่า อยากให้รัฐบาลดำเนินการผู้ที่เคลื่อน ไหวอยู่ต่างประเทศ โดยอาศัยกลไกและกระบวนการที่มีอยู่ดำเนินการ ไม่จำเป็นต้องไปประกาศให้เขารู้ตัว ส่วนความแตกแยกในประเทศอยากเห็นการใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และให้ทบทวนข้อดีข้อเสียของการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะได้ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติทุกมิติ โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนหน่วยงานความมั่นคงทั้งระบบ เพราะภาพที่ออกมาสร้างความเสียหายมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวชี้แจงอีกว่า สำหรับในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน ตนได้ทราบข่าวที่มีการรายงานว่า ช่วงที่เกิดเหตุมีประชาชนมารวมตัวชุมนุมกัน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเสนอว่าน่าจะประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในอีกหลายพื้นที่ แต่ตนไม่เห็นด้วย โดยเห็นว่าควรจะทำความเข้าใจกับประชาชนว่า การเรียกร้องโดยไม่ผิดกฎหมายสามารถทำได้ และไม่มีความคิดที่จะต่อท่ออำนาจ สร้างความไม่เป็นธรรมหรือกดขี่อะไร ตนไม่เคยเลือกปฏิบัติ และพร้อมเข้าแก้ไขปัญหาในทุกพื้นที่ แม้แต่การดำรงตำแหน่งของตนก็ไม่เคยพูดว่าต้องอยู่ครบวาระ แต่ต้องการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งในช่วงเลือกตั้งซ่อมเกิดภาพหลายอย่างที่สะท้อนความไม่สงบ จึงไม่อยากเห็นบรรยากาศที่มีการ ข่มขู่คุกคามกันอีก และหากใครมีข้อมูลว่ามีการกระทำไม่เป็นธรรมตนยินดีแลกเปลี่ยนข้อมูลหลัง บัลลังก์ทันที
นายวันชัย แสงสุขเอี่ยม ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นคนสมุทรสาคร การที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะไปชุมนุมที่จ.สมุทรสาครในวันที่ 25 เม.ย.นั้น ชาวสมุทรสาครไม่ได้ต้องการให้มีการชุมนุมในพื้นที่ จึงขอให้นายกรัฐมนตรีใช้มาตรการจัดการอย่างเด็ดขาด
พท.ปูด “ทักษิณ” จ่อเข้าไทย
นายสุชาติ ลายนํ้าเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย แถลงว่า เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา ตนได้รับการประสานจาก นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้องขอให้ ส.ส. ช่วยกันประสานไปถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าอย่าเดิน ทางเข้ามาในประเทศไทย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดผ่าน นางเยาวภาว่า จะเดินทางกลับประเทศไทย และขณะนั้นเดินทางมาอยู่ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา และเตรียมจะเดินทางเข้ามาทางภาคอีสานของไทยแล้ว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า ทราบว่าจะมีการสลายการชุมนุม จึงไม่สามารถทนเห็นประชาชนเสียเลือดเสียเนื้อได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อไหร่ นายสุชาติ กล่าวว่า วันนั้นท่านมาจ่อจะเข้าทางภาคอีสานแล้ว แต่นางเยาวภาได้ประสาน ส.ส.ให้ ช่วยกันขอร้องว่าอย่าเพิ่งเดินทางกลับเพราะกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย
ส่วนหลังจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อไหร่นั้น ยังไม่ได้มีการประสานกัน แต่เชื่อว่าหากรัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติเข้าสู่สภา และมีการนำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้เมื่อไหร่ พ.ต.ท. ทักษิณจะเดินทางกลับมาแน่นอน เพราะเรื่องคดี ความนั้นพอจะคุยกันได้ เมื่อถามว่า ที่ออกมาแถลงข่าว เพราะมีกระแสข่าวว่าคนเสื้อแดงเริ่มไม่เชื่อมั่นในตัว พ.ต.ท.ทักษิณใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ไม่ใช่คนเสื้อแดงไม่ได้ปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณแต่คนเสื้อแดงเขาเรียกร้องประชาธิปไตย ยืนยันว่าการแถลงข่าววันนี้ไม่ใช่การปลุกกระแสคนเสื้อแดงให้กลับมาชุมนุมอีก ครั้ง เพราะในพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่ได้มีการนำมาพูดกันต่อ
ภท.เมินถูกโจมตีอยู่เบื้องหลัง
ด้าน นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รมช.คมนาคม พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงกล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทย เป็นมือที่ 3 สร้างสถานการณ์รุนแรงนั้น ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้ โดยเฉพาะจากผู้ที่อยู่คนละฝ่าย ขนาดองค์พระปฏิมาในโบสถ์ยังโดนตำหนิ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกกังวล สิ่งใดที่มีข้อสงสัยให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย เพราะพรรคภูมิใจไทย สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม
จ่อแจ้ง “กษิต” หมิ่น “ทักษิณ”
นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีที่ นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ กล่าวปาฐกถาที่ ดิ เอเชีย โซไซตี้ นครนิวยอร์กของสหรัฐ เมื่อวันที่ 22 เม.ย. โดยระบุว่าการลอบยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ มีความเชื่อมโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงและเป็นการใส่ร้ายอดีตนายกรัฐมนตรี เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง ดังนั้นกรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตรวจสอบว่า คนกลุ่มใดเป็นคนลงมือ อย่างไรก็ตามทีมกฎหมายของพ.ต.ท. ทักษิณ อยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูล เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายกษิต ข้อหาหมิ่นประมาท โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายใน 1-2 วันนี้ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป
หาตัวพระร่วมชุมนุมเสื้อแดง
ดร.อำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิ การมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณี พระสงฆ์เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงว่า หลังจากที่คณะสงฆ์กทม.ทั้งฝ่ายธรรมยุต และมหานิกาย ยืนยันว่าพระสงฆ์ที่เข้าร่วมชุมนุมไม่ใช่พระในกทม.นั้น ทาง พศ.จะประสานเป็นการภายในไปยังเจ้าคณะจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อตรวจสอบว่าพระที่ไปร่วมชุมนุมเป็นพระในสังกัดของคณะสงฆ์จังหวัดใด เพื่อหาทางดำเนินการ เพราะเรื่องที่พระไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ทาง พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล พศ.ก็สอบถามมาเช่นกันว่าทำไมยังไม่สามารถหาตัวพระที่ไปร่วมชุมนุมได้ พร้อมทั้งเร่งให้ พศ.เร่งติดตามในเรื่องดังกล่าวด้วย
พระเตือนสติ “ลดทิฐิตนเอง”
ด้านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผอ.สถาบันวิมุตตยาลัย กล่าวว่า สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้อยากให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ประเทศไทยให้มาก ลดทิฐิในตัวเอง เพราะเราเสียเวลาให้แก่ความขัดแย้งไปมากแล้ว ทำให้เสียต้นทุนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง โดยเฉพาะต้นทุนในเรื่องสันติสุขที่เคยมีมาถูกทำลายไปหมด ดังนั้นทุกฝ่ายต้องลดการเห็นแก่ตัว อะไรที่จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติต้องมา เป็นอันดับหนึ่ง หากไม่รวมกันทำเพื่อประเทศชาติ และยังปล่อยให้เหตุการณ์ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น จะเกิดโอกาสสูงมากที่จะมีสงครามกลางเมือง และประเทศไทยจะถูกแบ่งแยกให้เป็นไทยเหลือง ไทยแดง ซึ่งเมื่อต่างชาติมองว่าไทยควบคุมกันเองไม่ได้ สหประชาชาติก็จะเข้ามา และเมื่อถึงเวลานั้นสังคมไทยจะเป็นสังคมที่เกิดความรุนแรงรายวัน อยากให้แกนนำทั้งสองฝ่ายลดทิฐิของตนเอง เพราะที่ผ่านมาต่างปกป้องทิฐิของตนเองมากกว่าปกป้องประเทศ
แกนนำเชียงใหม่ 51 มอบตัว
ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 09.00 น. นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล อายุ 52 ปี แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.คนองศักดิ์ กุศล พงส.สภ.สารภี ตามหมายจับที่ จ.228/2552 หลังจากที่ไปปิดกั้นถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง โดยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และมี นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ใช้ตำแหน่งประกันตัวออกไป ต่อมาเวลา 10.00 น. นายเพชรวรรต เข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.ชัชพล องค์ศิริพร พงส.สภ.แม่ปิง ตามหมายจับที่ จ.226/2552 ในข้อหาเดียวกัน โดยมี นายอุดม แปงทิศ รอง ผอ.สพศ. เชียงใหม่ เขต 1 ใช้ตำแหน่งขอประกันตัวไป และเวลา 11.30 น. นายเพชรวรรต นางกัญญาภัค มณีจักร อายุ 50 ปี และนายภูมิใจไทย ไชยยา อายุ 47 ปี เข้ามอบตัวกับ พ.ต.ท.ธนดล น้อยสุวรรณ พงส.สภ.ภูพิงค์ หลังร่วมกับคนเสื้อแดงปิดสนามบินเชียงใหม่ โดยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ซึ่ง นายเพชรวรรต กล่าวภายหลังว่า จะเคลื่อนไหวต่อไป แต่ไม่มีการชุมนุมปิดถนนอีก
ที่ จ.ลำปาง เมื่อเวลา 10.00 น. นายสมนึก นาคปานเสือ แกนนำคนเสื้อแดง ที่ไปปิดถนนหน้าศาลากลางจังหวัด ได้เข้ามอบตัวกับ พล.ต.ต.อรรถกิจ กรณ์ทอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง หลังถูกศาลจังหวัดลำปางออกหมายจับ โดยให้การปฏิเสธ ขณะที่ นายณัฐชัย อินทราย เจ้าของสถานีวิทยุชุมชนคนล้านนา ที่ถูกออกหมายจับเช่นกันยังไม่เข้ามอบตัว เพราะนอกจากคดียุยงส่งเสริมให้มีการชุมนุมแล้ว นายณัฐชัย ยังมีคดีมี เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองอีกคดีด้วย
ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อเวลา 14.00 น. รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ พร้อมผู้สนับสนุน 50 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงรัฐบาล ผ่าน ผวจ. ขอนแก่น โดยมี นายทรงพล จำปาพันธ์ รอง ผวจ.ขอนแก่น เป็นผู้รับหนังสือ อ้างว่าตนเองไม่ใช่แกนนำคนเสื้อแดง แต่ได้สวมเสื้อแดงไปร่วมชุมนุมปราศรัยชุมนุมปิดถนนมิตรภาพ ที่แยกบ้านกุดกว้าง บุกสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที จริง แม้จะส่งผลกระทบกับผู้ใช้รถใช้ถนนบ้างก็ขออภัย ซึ่งหากมีหมายเรียกมาก็พร้อมจะเข้าไปรายงานตัว
บัวแก้วปฏิเสธจีนเรียกทูตไทย
นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสาร นิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขณะนี้มีบางประเทศที่ยังคงประกาศเตือนให้หลีกเลี่ยงเดินทางมาประเทศไทย เนื่องจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้มีหนังสือแจ้งไปยังประเทศเหล่านี้โดยตรงแล้ว เพื่อให้ทบทวนปรับคำประกาศให้เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นจริง อย่างไรก็ตาม ตนขอปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่ากระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้เรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ไปต่อว่าจาก กรณีการวางระบบรักษาความปลอดภัยให้กับ นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีของจีน ที่เดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศ คู่เจรจา ที่ จ.ชลบุรี โดยเชื่อว่าผู้นำจีนมีความ เข้าใจประเทศไทยดี และพร้อมให้การสนับสนุนประเทศไทยต่อไป เพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความขอโทษด้วยตัวเอง และเดินทางไปส่งที่อู่ตะเภา ซึ่งจะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกันว่ายังคงดีอยู่
หลายประเทศลดระดับเตือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการออกประกาศของต่างประเทศเพื่อให้พลเมืองของตัวเองหลีกเลี่ยงเดินทาง มายังประเทศไทยจากเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงครั้งนี้ ปรากฏว่าตอนนี้มีหลายประเทศปรับลดคำประกาศเตือนลงตามลำดับ โดยประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร รัสเซีย เยอรมนี เดนมาร์ก เบลเยียม สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา และญี่ปุ่น ได้ปรับคำประกาศเตือนให้ใช้ความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงในที่ชุมนุม และสถานที่ที่เป็นหน่วยงาน ราชการไทย เนื่องจากยังคงมีประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และสถานการณ์ยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะทางกลุ่มเสื้อแดงจะมีการชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 25 เม.ย.นี้ ขณะที่มีบางประเทศคงประกาศเตือนให้หลีกเลี่ยงเดินทางเข้ามาในไทย ได้แก่ จีน สเปน และฟิลิปปินส์ โดยทางการจีนได้มีการแจ้งให้สำนักงานการท่องเที่ยวประจำมณฑลต่าง ๆ ระงับการนำทัวร์มายังประเทศไทยเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ
เผยยูเออีรับปากจับ “ทักษิณ”
นายพนิช วิกิตเศรษฐ ผู้ช่วย รมว.การต่างประเทศ เปิดเผยถึงการเดินทางไปประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ภายหลังได้รับมอบหมายจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้แทนพิเศษร่วมกับ นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เดินทางไปกรุงอาบูดาบี ของยูเออี ระหว่างวันที่ 19-21 เม.ย. ที่ผ่านมา เพื่อนำหมาย จับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปมอบให้สำนักงานตำรวจยูเออี และกระทรวงต่างประเทศยูเออี รวมถึงการจัดทำความตกลงว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับยูเออี อีกทั้งตนมอบจดหมายของชมรมมุสลิมไทยในกรุงเทพฯที่ได้ยื่นต่อสถาน เอกอัครราชทูตยูเออีในประเทศไทย ไปให้เขาด้วยเพื่อให้ทราบว่ามีการทำร้ายชุมชนชาวมุสลิมในกรุงเทพฯ และถ้าพ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเข้ามาในประเทศนี้อีกด้วยหนังสือเดินทางของ ประเทศอื่น ก็จะต้องมีการพิจารณาถึงเจตนาของการเข้าประเทศ แต่ทางการยูเออีสามารถควบคุมตัวพ.ต.ท.ทักษิณไว้ เพราะมีหมายจับของ พ.ต.ท. ทักษิณแล้ว และพ.ต.ท.ทักษิณยังถือสัญชาติไทย ตลอดจนยังใช้ชื่อเดิมอยู่ตามที่ปรากฏในหมายจับ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกนำตัวไปดำเนินการตามกฎหมายของประเทศของเขาที่สามารถนำไป สู่การส่งตัวกลับประเทศไทย
“เฉลิม” เรียกรัฐบาลลาขึ้นรถ
ต่อมาเวลา 18.25 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า คนที่มีหน้าที่ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจหรือ นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ที่มีกลุ่มบุคคลยังพยายามใช้คำพูดยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น ด้วยการใช้คำว่านักโทษชายกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดแค่เซ็นเอกสารมอบฉันทะให้ภริยาซื้อที่ดิน เท่านั้น ที่นายกฯระบุว่าได้อำนาจมาด้วยความชอบธรรมนั้นพูดได้อย่างไร โดยไม่อาย ต้องรู้สำนึกตัวเองได้แล้วว่ามาได้เพราะใคร มาจากไหน สิ่งนี้มันฝังใจคนจนจึงมาชุมนุมกันมากมาย และสาเหตุที่ทำให้เสื้อแดงมาชุมนุมก็เพราะความคับแค้นใจ กับการดำเนินการของรัฐบาลที่ใช้สองมาตรฐานกับกลุ่มพันธมิตรฯ และแกนนำ นปช. วันนี้ก็มีการสั่งดำเนินคดีกับแกนนำคนเสื้อแดง ทั้งที่หลักการในการจับกุมภายใต้พ.ร.ก.นี้จะต้องจับกุมตัวมาขังไว้ 7 วัน หากไม่มีแจ้งข้อกล่าวหาอื่นต้องปล่อยตัว แต่ครั้งนี้ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา และไม่ยอมอนุญาตให้ปล่อยตัวนายอภิสิทธิ์ แน่มากที่สร้างความหายนะให้กับประเทศ ด้วยการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใจกลางเมืองหลวงซ้ำเติมเศรษฐกิจของไทย ให้ต่างชาติไม่กล้ามาลงทุน ซึ่งหากแน่จริงก็อย่ายกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้คงไว้ และนายกฯคนนี้เป็นคนสร้างความแตกแยกทางการเมืองมากที่สุด และตนจะไม่เรียกร้องให้ยุบสภา เพราะรัฐบาลชุดนี้เหมือน “รัฐบาลลาขึ้นรถ” เป็นรัฐบาลที่ไม่ฟังใคร
ระบุพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นโมฆะ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า นายกฯอาศัยอำนาจตามกฎหมายใดที่ยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้ หากนายกฯจะเก็บเรื่องการประชุมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไว้ เพราะวันที่ 12 เม.ย. นายกฯได้ประชุมร่วมกับ รมว.กลาโหม รมว.มหาดไทย และรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ทั้งที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ให้การประชุม ครม.ต้องประกอบด้วยรัฐมนตรี 1 ใน 3 ในกรณีจำเป็นเพื่อการรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศ หรือเป็นประโยชน์เพื่อการรักษาความลับ ให้นายกฯพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เมื่อประกาศเสร็จต้องให้ ครม.เห็นชอบภายใน 3 วัน หากไม่นำเข้าขอความเห็นชอบจาก ครม.ภายในกำหนดก็ต้องถือว่าพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องถูกยกเลิกไป โดยปริยาย จึงถือว่านายกฯกระทำการขัดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 5 หากในวันที่ 23 เม.ย. ศาลอาญาวินิจฉัยการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วก็อยากจะเห็นหน้านายอภิสิทธิ์เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร นอกจากนั้นอยากทราบว่าตำรวจ ใช้อำนาจอะไรในการจับกุมแกนนำ นปช.เพราะ หากใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินจำเป็นต้องขอหมายจับจากศาลก่อน แต่กรณีนี้มีการจับกุมแกนนำตอนตีสี่ ซึ่งศาลยังปิดอยู่ หรือหากใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายอาญาจะต้องจับกุมไปไว้ ณ สน.พื้นที่ที่เกิดเหตุ มิใช่จับไปไว้ที่สระบุรี ซึ่งถือเป็นการกระทำที่อัปยศที่สุด.
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment