Tuesday, April 21, 2009

ชมรม ส.ส.ร.50 ร่อนหนังสือถึงนายกฯ ท้วงแก้ รธน.แค่หวังสมใจนักการเมือง

ชมรม ส.ส.ร.50 ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง “อภิสิทธิ์” ท้วงแนวคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่าทำเพื่อใคร ชี้วิกฤตชาติไม่ได้เกิดจากรัฐธรรมนูญ แต่เป็นความเห็นต่างจากคนสองฝ่าย เย้ยแค่หวังให้สมประโยชน์ทางคดีและนักการเมืองเท่านั้น แนะหากจะแก้จริงต้องดึงคนกลางมาร่วม ห่วงฝ่ายไม่พอใจคัดค้านอีก

วันนี้ (21 เม.ย.) ที่รัฐสภา ชมรม ส.ส.ร.50 ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน โดยระบุว่ากรณีเกิดวิกฤตทางการเมืองช่วงระหว่างวันที่ 10-14 เมษายน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศ โดยเฉพาะในฐานะการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและคู่เจรจา จากนั้นเกิดกระแสการแก้วิกฤตดังกล่าวอย่างหลากหลาย ได้แก่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายกฯ แสดงท่าทีเห็นด้วย แตกต่างไปจากท่าทีก่อนหน้านี้

ชมรม ส.ส.ร.50 มีมติ 6 ข้อ เพื่อประกอบการตัดสินใจของนายกฯ ได้แก่ 1.ชมรมฯ มีความเห็นว่า เหตุวิกฤตการเมืองของประเทศ มิได้เกิดจากรัฐธรรมนูญ แต่เกิดจากความเห็นที่แตกต่างของกลุ่มบุคคลสองฝ่ายที่ต่างมีจุดยืนและยึด มั่นในตัวบุคคล ข้ออ้างเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเพียงเรื่องที่ถูกหยิบยกเพื่อนำไปสู่การแก้ รัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ทางคดีมากกว่า หากมีการแก้รัฐธรรมนูญก็จะเป็นการสมประโยชน์เฉพาะแต่นักการเมือง และพรรคการเมืองเท่านั้น 2.การแก้รัฐธรรมนูญจะยิ่งเป็นการจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งในสังคมมากขึ้น เพราะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านเหมือนที่ผ่านมา ความวุ่นวายก็จะเกิดซ้ำอีก 3.ก่อนแก้รัฐธรรมนูญ ต้องเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งมาระดมความคิดในการปฏิรูปการเมือง ให้ได้ข้อยุติเสียก่อนแล้วจึงนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

4.กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ควรกระทำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของกลุ่มบุคคลดังกล่าวเท่านั้น ประโยชน์ของประชาชนจะถูกละเลย 5.รัฐธรรมนูญ 50 ผ่านการทำประชามติจากประชาชน ซึ่งก่อนทำประชามติได้ส่งร่างไปให้พรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อมีส่วนร่วมในการ พิจารณาแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีพรรคใดคัดค้าน การที่มีพรรคบางพรรคพยายามนำเสนอว่ารัฐธรรมนูญเป็นตัวสร้างปัญหาโดยเฉพาะ มาตรา 237 จึงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง 6.หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนว่าสมควรแก้มาตราใด อย่างไร และท้ายสุดต้องทำประชามติจากประชาชน

No comments:

Post a Comment