หยั่งเสียงขอตั้งพรรค กกต.จ้องสอบประวัติหาก'สนธิ'ขึ้นหัวหน้า
พันธมิตรฯ ทั่วประเทศ ตบเท้าแสดงพลังพรึ่บ เต็มสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตร่วมงานครบรอบ 1 ปี ชุมนุม 193 วัน แกนนำอ้างแค่หยั่งเสียงแนวร่วมเสื้อเหลือง 2 เรื่อง แก้ไขรธน.และตั้งพรรคใหม่ ระบุหากมีมติให้ตั้งพรรค ขอเวลา 60 วันเดินเครื่องลุย หาตัวหัวหน้า-ชื่อพรรคทันควัน ขณะที่รัฐบาล-ฝ่ายค้าน อ้าแขนรับน้องใหม่ เข้าสู่สนามการเมือง “อภิ สิทธิ์” โวลั่นไม่เคยหวั่นไหว แค่มีคู่แข่งเพิ่มขึ้น “สุเทพ” อวยพรให้สำเร็จ แต่ไม่ขอวิจารณ์หาก “สนธิ” ขึ้นนั่งเก้าอี้หัวหน้า ส่วน “กกต.” จ้องฟันบุคคลล้มละลาย ด้าน “เทพไท” อัดโฆษกเพื่อไทย “จ๋อจ้อหน้าจอ” ด้านอนุกก.สอบทุบรถนายกฯ ส่งเทียบเชิญผบ.ตร.-ปลัดมหาดไทย-สื่อมวลชนให้ข้อมูล “ผบช.น.” ปิ๊งไอเดียแจกปฏิทิน จับเสื้อเหลือง-แดง ตั้งรางวัลรายละ 5 หมื่นบาท
ภายหลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดประชุมสภาพันธมิตรฯ ที่อาคารนันทนาการ ม.รังสิต เพื่อเดินหน้าการเมืองใหม่และตั้งพรรคการเมือง โดยจะนำผลประชุมไปขอมติจากแนวร่วมพันธมิตรฯทั่วประเทศที่จะเดินทางมาประชุม ใหญ่ ที่สนามกีฬา ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
“มาร์ค”ไม่หวั่นพรรค พธม.
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 25 พ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯตั้งพรรคการเมืองและอาจส่งผลต่อบุคลากร ของพรรคประชาธิปัตย์ที่อาจย้ายพรรค ว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่แต่ละคนคงต้องตัดสินใจถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ เมื่อมีพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ก็ถือเป็นการแข่งเพิ่มเติม และถ้าการแข่งขันเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับระบอบ ประชาธิปไตย ในส่วนบุคลากรของพรรคประชาธิปัตย์ต่างทำงานร่วมกับพรรคมาอย่างต่อเนื่องก็จะ ทราบแนวทางการทำงานอย่างชัดเจนจึงเชื่อว่าคนที่ตัดสินใจเข้ามาร่วมอุดมการณ์ กับเราแทบจะทั้งหมดก็ยังยืนหยัดที่จะทำงานร่วมกับเราต่อ
โวมีคู่แข่งยิ่งทำให้ตื่นตัว
เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีคนไหลออกจนส่งผลกระทบต่อพรรคหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ตอนนี้คิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมิน ความจริงแล้วการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะเห็นใกล้ ๆ เลือกตั้งมากกว่า ส่วนกรณีที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯให้เหตุผลการตั้งพรรคครั้งนี้ว่า เป็นเพราะผิดหวังจากการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์นั้นก็เป็นความคิดเห็นที่ สามารถที่จะสะท้อนได้เพราะคิดว่าเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องในระบอบ ประชาธิปไตยจะต้องมีการแข่งขันและยิ่งมีคู่แข่งเพิ่มเท่าไหร่เราก็ยิ่งต้อง มีความตื่นตัวในการที่จะสนองตอบกับประชาชนมากเท่านั้น
“เทพเทือก”ยินดีรับสู่สังเวียน
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้บอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ายินดีด้วยและขอต้อนรับในฐานะที่เป็นนักการ เมืองมาทั้งชีวิตของตน การที่เห็นพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น และนำข้อเสนอ ใหม่ ๆ มาเสนอต่อประชาชน ตนดีใจที่เห็นเขา ตั้งพรรคการเมืองและขอให้ตั้งสำเร็จ ตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้าฝ่ายต่าง ๆ จะสู้กันในระบบใครมีความเห็นอย่างไรก็เสนอต่อประชาชนและให้ประชาชนเป็นผู้ ตัดสินว่าจะมอบหมายความไว้วางใจให้ใคร ตนลงสมัครผู้แทนมา 31 ปีก็ไม่มีครั้งไหนที่ลงสมัครเพียงคนเดียวเพราะมีคู่แข่งทุกครั้ง
เมื่อถามว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯจะมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นเรื่องภายในของเขาตนคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์
“ปชป.”ยันทำงานเพื่อส่วนรวม
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมดยืนยันว่าตลอดเวลาที่ตั้งพรรคประชาธิปัตย์มาได้ ยึดมั่นในหลักของประโยชน์ส่วนรวม ความถูกต้องชอบธรรม และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาโดยตลอด หากการทำหน้าที่ของพรรคที่ผ่านมาทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลประชาชนไม่ได้มองว่า พรรคยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง พรรคประชาธิปัตย์คงไม่มีโอกาสอยู่มาถึง 64 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แกนนำพรรค ปชป. ได้มีการประเมินว่า หากพรรคพธม.เกิดขึ้นจริงในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีผลกระทบต่อปชป.ไม่มาก นัก เนื่องจากปชป.มีฐานเสียงแข็งอยู่แล้ว ในพื้นที่ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคกลาง แต่อาจจะมีผลต่อการแย่งชิงส.ส.ในพื้นที่ซึ่งปชป. ไม่เคยเป็นเจ้าของพื้นที่มาก่อน อาทิ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อัดโฆษกพท. “จ๋อจ้อหน้าจอ”
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยตั้งฉายาให้รัฐบาลและรัฐมนตรีว่า อาจเป็นมุกตลกหรือต้องการให้เป็นสีสันในการแถลงข่าว แต่นั่นคือพฤติกรรมของลิเกหลงโรง ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้สองมาตรฐานอย่างที่กล่าวหา แต่เรื่องสองมาตรฐานหรือดับเบิ้ลสแตนดาร์ด มีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯจึงอยากให้คนที่ตั้งกับนายอภิสิทธิ์ ว่าสองมาตรฐานกลับไปดูเจ้านายของตัวเองเสียก่อน และขอตั้งฉายาโฆษกพรรคเพื่อไทยว่า “ไอ้จ๋อจ้อหน้าจอ”
กกต.ระบุพธม.ยังไม่ยื่นแจ้ง
ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายปกครอง สุนทรสุทธิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯที่จะเตรียมตั้งพรรคการเมืองอาจจะใช้ชื่อว่า พรรคเทียนแห่งธรรม และ พรรคประชาภิวัฒน์ นั้น ทั้ง 2 พรรคการเมืองอยู่ระหว่างการดำเนินการหาสมาชิกพรรคและจัดตั้งสาขาพรรคให้ครบ 4 ภาค ตาม พ.ร.บ. พรรคการเมืองมาตรา 26 หากพรรคใดไม่สามารถดำเนินการภายใน 1 ปี ซึ่งจะเป็นเหตุให้พรรคการเมืองดังกล่าวต้องสิ้นสภาพไป สำหรับชื่อพรรคการเมืองใหม่นั้นยังไม่มีการยื่นเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามหากใครต้องการยื่นจดแจ้งขอจัดตั้งพรรคการเมืองโดยใช้ชื่อว่า พรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็สามารถยื่นเข้ามาได้ในขณะนี้เพราะนาย ทะเบียนยังไม่ได้ตอบรับ
จ่อตีความบุคคลล้มละลาย
ต่อข้อถามว่า หากพันธมิตรฯจะขอซื้อชื่อพรรคการเมืองที่ กกต.รับจดแจ้งจัดตั้งพรรคไว้แล้วเพื่อง่ายต่อการดำเนินการทางการเมืองทำได้ หรือไม่ นายปกครอง กล่าวว่า ใครจะไปอยู่เป็นสมาชิกพรรคไหนก็สามารถทำได้ หากมีคุณสมบัติเข้าตามเกณฑ์ แต่การไปเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็จะมีคุณสมบัติสูงกว่าการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในมาตรา 102 (2) ระบุว่า ต้องไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต ซึ่งหากนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯจะมาเป็น หัวหน้าพรรคการเมืองนั้น ก็ต้องมีการตีความเนื้อหาคำพิพากษาของศาลระบุไว้อย่างไร
พท.ตั้งข้อสังเกต 6 ประเด็น
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยแถลงถึงการตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯว่า พรรคเพื่อไทยขอแสดงความยินดีกับแนวคิดตั้งพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ดีกว่าไปเล่นการเมืองข้างถนนและเป็นอีแอบ แต่ตนขอตั้งข้อสังเกตใน 6 ประเด็น คือ 1.พรรคพันธมิตรฯคงเป็นเพียงพรรคสาขาของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ก็ยังเป็น ส.ส.สัดส่วนของประชาธิปัตย์ 2.เป็นการตระบัดสัตย์ลวงโลก เพราะนาย สนธิ เคยประกาศจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง 3.แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯมีคดีจำนวนมาก 4.ถ้าเป็นพรรคการเมืองเงินบริจาคที่ให้เอเอสทีวีหลายร้อยล้านจะเสียภาษีหรือ ไม่ 5.กฎหมายพรรคการเมืองห้ามยุ่งหรือครอบครองสื่อ และ 6.แกนนำยังจะใช้นโยบายยึดสนามบิน ทำเนียบ เพื่อแลกกับตำแหน่งอีกหรือไม่
เสื้อเหลืองตบเท้าแสดงพลัง
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยา กาศ ที่สนามกีฬา ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กลุ่มพันธมิตรฯ ได้จัดงาน “193 วันรำลึก 1 ปีแห่งการต่อสู้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิป ไตย” โดยมีแนวร่วมเสื้อเหลืองทยอยมาร่วมงานตั้งแต่ช่วงสายอย่างคึกคัก จนกระทั่งช่วงบ่ายมีจำนวนกว่า 4 หมื่นคนก็จับจองที่นั่งจนเกือบเต็มอัฒจันทร์ทั้ง 4 ด้าน ส่วนบริเวณหน้าลานทางเข้าสนามกีฬา ได้มีการนำชุดของนายสนธิ ซึ่งเป็นชุดเปื้อนเลือดที่ใส่ขณะถูกลอบยิงมาใส่กรอบใหญ่เขียนว่า “การเมืองใหม่ ต้องเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ” นอกจากนี้ยังมีการนำสิ่งของที่ระลึกเสื้อผ้า หมวก ผ้ายันต์ และจตุคาม ฯลฯ มาวางจำหน่าย ในส่วนของการรักษาความปลอด ภัยได้มีการตั้งเครื่องสแกนวัตถุโลหะทุกประตูทางเข้าเพื่อตรวจความปลอดภัย อย่างเข้มงวด
แกนนำโผล่ร่วมงานครบ
จากนั้นเวลา 15.52 น. เริ่มมีกิจกรรม ปล่อยขบวนพาเหรดของภูมิภาคต่าง ๆ เช่น พาเหรดกลองสะบัดชัย การเชิดสิงโต รำกลองยาว ปิดท้ายด้วยขบวนล้อการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน รวมไปถึงกลุ่มเสื้อแดง สำหรับบรรดาแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะเป็น นายสนธิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา ต่างสวมใส่เสื้อสีเขียวอ่อน ที่มีข้อความว่า “193 วัน รำลึก 1 ปีแห่งการต่อสู้พันธมิตรฯ” มาร่วมงานพร้อมเพรียง บรรยากาศในช่วงเย็นจึงเต็มไปด้วยความคึกคัก เนื่องจากมีแนวร่วมเสื้อเหลืองจากทั่วสารทิศทยอยมาสมทบอีกจำนวนมาก
อ้างฟังเสียงมติผู้ชุมนุม
นายสมศักดิ์ ในฐานะประธานสภาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ ถึงการลงมติในการชุมนุมวันนี้ว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อจากเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยให้ประชาชนยกมือหรือปรบมือตอบรับในสองประเด็นหลัก คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการจัดตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ซึ่งถือเป็นหลักการของประชาธิปไตย ทางตรง ทั้งนี้ หากที่ประชุมมีมติอย่างไร ทางแกนนำพร้อมจะปฏิบัติตาม และแม้ว่าจะมีพรรคหรือไม่มีพรรค ทางกลุ่มพันธมิตรฯก็จะยังทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลเช่นเดิม การโหวตในช่วงประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ถ้ามีมติให้ตั้งพรรคจริงก็จะมีกระบวนการดำเนินการต่อ ไม่ว่าจะเป็นหยั่งเสียงประชาชนถึงชื่อพรรคและหัวหน้าพรรค ต้องใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 60 วัน จึงจะเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน
ประชุมอนุกก.ทุบรถนายกฯ
ที่รัฐสภา คณะอนุกรรมการรวบรวม เหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่มีนางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ เป็นประธาน ได้มีการประชุมนัดแรกโดยได้กำหนดกรอบการทำงาน โดยสรุปประเด็นภาพรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กระทรวงมหาดไทย ในวันที่ 12 เม.ย. และศึกษาลงลึกในประเด็นที่อยู่ในความสนใจสังคมและเหตุการณ์ที่คลางแคลงใจ ประชาชน อาทิ นายกฯ อยู่ในรถหรือไม่, การทุบรถจัดฉากหรือไม่ รวมไปถึงข้อสงสัยว่ามีการใช้อาวุธปืนทำร้ายผู้ชุมนุมเสียชีวิต ฯลฯ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้เชิญ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตัวแทนของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มาให้ข้อมูลในการประชุมวันที่ 27 พ.ค.
เสนอดึงสื่อเทศให้ข้อมูล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการประชุม มีความเห็นที่ขัดแย้งระหว่างอนุกรรมการจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยเมื่อที่ประชุมมีความเห็นในเรื่องขอข้อมูลจากผู้สื่อข่าวไทยและต่าง ประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย อนุกรรมการ กล่าวว่า ธรรมชาติของนักข่าวที่ติดตามนายกฯ บางทีก็มีความสนิทสนม บางมุมกล้องจึงอาจจะเป็นใจ อย่างกรณีนักข่าวที่อยู่ประจำพรรคไหนก็มักจะเป็นใจกับพรรคนั้น ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ควรขอข้อมูลจากนักข่าวต่างประเทศด้วย เพราะมีมุมมองแตกต่างจากนักข่าวไทย
ด้านนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อนุกรรมการ กล่าวว่า นักข่าวไทยมีจรรยาบรรณพอ และตนเชื่อว่าใน สถานการณ์เช่นนั้นคงไม่มีนักข่าวคนใดมีใจเข้าข้างใดข้างหนึ่ง เพราะทุกคนมุ่งที่จะทำงานเหมือน กัน ส่วนนายชิงชัย รุ่งละโภ บรรณาธิการข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์บ้านเมือง อนุกรรมการ ตัวแทนสื่อมวลชน กล่าวว่า การทำงานในวันเกิดเหตุมีผู้สื่อข่าวมาทำข่าวหลายสายไม่เฉพาะผู้สื่อข่าวที่ ติดตามนายกฯ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเชื่อว่าจะไม่มีการปรุงแต่งเหตุการณ์ขึ้นอย่างแน่นอน
จ่อแสดงตัวตร.เสื้อน้ำเงิน
ส่วนการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่เมืองพัทยาและภูมิภาค โดยมีนายอโณทัย ฤทธิ์ปัญญาวงศ์ ส.ว.สรรหา เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้มีการกำหนดกรอบทำงาน โดยเห็นว่าควรมีการสรุปภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยาตั้งแต่วันที่ 8-15 เม.ย.ที่ผ่านมา และเห็นว่าควรลงพื้นที่พัทยาและสอบถามข้อเท็จจริงที่ศาลากลางจังหวัดชลบุรี ในวันที่ 8 มิ.ย. นี้ พร้อมทั้งจะเชิญอดีต ผวจ.ชลบุรี และอดีต ผบก.ภ.จว.ชลบุรีมาชี้แจง อย่างไรก็ตามในการประชุมอนุกรรมการฯในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายบรรจบ รุ่งโรจน์ ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ และนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าควรมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องกลุ่มคนเสื้อสีน้ำเงิน ยืนยันเป็นคนชลบุรีไม่ใช่ตำรวจหรือทหารที่ถูกสั่งเกณฑ์มา
ขณะที่นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส. ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีพยานและหลักฐานว่ากลุ่มคนเสื้อน้ำเงินเป็นตำรวจถูกสั่งให้มาจำนวน 4 จังหวัด จังหวัดละ 150 นาย ซึ่งตำรวจเหล่านั้นพร้อมที่จะมาให้ข้อมูล
“ธานี”ประชุมสางคดียิง “สนธิ”
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. พร้อมพนัก งานสืบสวนสอบสวนคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ร่วมประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการให้ชุดทำงานรายงานผลการสืบสวนสอบสวนว่าดำเนินไปได้ แค่ไหน เนื่องจากขณะนี้ยังรวบรวมพยานหลักฐานได้ไม่ครบ โดยในวันนี้ได้สั่งการให้ทีมงานไปดำเนินการหาพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุเพิ่ม เติมและให้กลับมารายงานผลในอีก 7 วันยืนยันว่ายังไม่มีการออกหมายจับใคร
ลุ้นขอปิดคดีก่อนเกษียณ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวชุดทำงาน ไม่สามารถทำคดีให้คืบหน้าได้เนื่องจากเจอ “ตอ” จริงหรือไม่ พล.ต.อ.ธานี ตอบว่า อะไรคือ “ตอ” การประชุมวันนี้ก็เน้นย้ำชุดทำงานว่าอย่าไปฟังข่าว ลือเพราะมีทั้งจริงและไม่จริง ตำรวจต้องทำงาน แม้มีอุปสรรคอะไรก็ตาม ขอยืนยันเหมือนเดิมว่าจะทำคดีให้เสร็จภายใน 4 เดือน ก่อนเกษียณอายุราชการอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธานี รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ผบ.ตร.มีคำสั่งให้เปลี่ยนหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีวันที่ 7 ต.ค. 51 จาก พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็น พล.ต.อ.ธานี ว่า คดีนี้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสืบสวนจนมาถึงตนเป็นคนที่ 4 แล้ว ซึ่งตอนนี้มีคดีสำคัญ ๆ ที่ตนรับผิดชอบอยู่หลายคดี แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งการมาต้องทำตามส่วนรายละเอียดของคดีขณะนี้ยังไม่ ทราบ แต่ในวันที่ 27 พ.ค. นี้ได้เรียกพนักงานสอบสวนเข้าประชุมเพื่อติดตามดังกล่าวแล้ว
ทำปฏิทินจับเสื้อเหลือง-แดง
ด้านพล.ต.ท.วรพงษ์ ผบช.น. กล่าวถึงการจัดทำประกาศสืบจับผู้ชุมนุมเสื้อเหลือง และเสื้อแดง เช่นเดียวกับการออกปฏิทินโจรซึ่งได้ผลดีจนสามารถนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา ได้จำนวนหลายรายนั้น ล่าสุดจึงได้จัดทำปฏิทินสืบจับอีก 2 ชุด ๆ ละ 500 แผ่นเพื่อแจกจ่ายไปยังสถานีตำรวจต่าง ๆ และชุมชน ชุดแรกเป็นกลุ่มเสื้อเหลือง 20 รายที่ยกพวกก่อเหตุบุกสถานีวิทยุชุมชนแท็กซี่ ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อช่วงปลายปี 51 แต่ละคนเป็นชายฉกรรจ์ไม่ทราบชื่อ มีรางวัลนำจับ รายละ 50,000 บาท ส่วนชุดสองเป็นกลุ่มเสื้อแดง 29 ราย ที่ก่อเหตุภายในกระทรวงมหาดไทย สามารถจับกุมได้แล้ว 2 ราย ทั้งนี้ผู้ที่พบเห็นเบาะแสโทรฯ แจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์สืบสวน บช.น. โทร. 0-2345-3399, ที่กก.สส.บก.น. 2 โทร. 0-2585-5335 และที่กก.สส.บก.น.6 โทร. 0-2223-4443
“มานิตย์”ลุ้นกลับรับราชการ
ช่วงสายวันเดียวกันที่ บช.น. พล.ต.ต. มานิตย์ วงศ์สมบูรณ์ อดีต ผบก.น.1 ที่ถูกให้ออกจากราชการจากกรณี ป.ป.ช.ระบุโทษผิดวินัยร้ายแรง สมัยดำรงตำแหน่งเป็น “รอง ผบก.น.6” แล้วเกิดเหตุการณ์กลุ่มชายฉกรรจ์ทำร้ายแนวร่วมพันธมิตรฯ ที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งนี้ พล.ต.ต.มานิตย์ ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าที่บช.น. เปิดเผยว่า คดีที่ป.ป.ช.ยื่นฟ้องนั้นสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วจึงได้ยื่นเรื่องขอกลับเข้ารับ ราชการตามมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาตินานแล้ว แต่เรื่องยังค้างอยู่ไม่รู้จะถูกนำเข้าที่ประชุม ก.ตร.อีกเมื่อใด ล่าสุดจึงตัดสินใจไปยื่นเรื่องต่อที่ศาลปกครองช่วยพิจารณาตัดสิน.
Monday, May 25, 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment