แฉยับทีมเศรษฐกิจไม่กล้าขึ้นภาษีที่ดิน
“มาร์ค” โต้สกัดพรรคร่วมทึ้งงบปี 53 ยันหั่นงบไม่เลือกค่าย ออกทีวีแจงกู้เงิน 8 แสนล้านจากคนไทย ยาหอมปี 55 ศก.ไทยแข็งแรง โอดศัตรูการเมืองเล่นหนักเกินไป ด้าน “เพื่อไทย” ประกาศยื่นศาล รธน. เบรก “พ.ร.ก.กู้เงิน” พร้อมดักคอขายรัฐวิสาหกิจต่อลมหายใจ เย้ยทีมเศรษฐกิจมือใหม่หัดขับ “ขุนคลัง” เล่นหุ้นยังขาดทุนยับ แนะฟื้น “หวยบนดิน” หารายได้เข้ารัฐ แถมเสี้ยม “ปชป.” ระแวงเลื่อยเก้าอี้กันเอง ขณะที่ “สมคิด” โผล่ฟันธงจีดีพีปีหน้าทะลุ 60% แน่นอน แต่ยังแทงกั๊กเลิกเล่นการเมือง ฝ่าย “นายหัวชวน” ปัดข่าวซดเกาเหลา ชี้ไม่แก้ รธน. ไม่เกี่ยวแตกสามัคคี ลูกหาบชง “กกต.” รับเหมาคดีเลือกตั้งเบ็ดเสร็จ
“มาร์ค”จี้ทุกกระทรวงหั่นงบ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 10 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ว่า ที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมาได้อนุมัติเรื่องสำคัญทาง เศรษฐกิจ โดยให้จัดเก็บภาษีบาป นั่นคือเรื่องของเหล้ากับบุหรี่ ซึ่งจะมีรายได้เข้าสู่รัฐเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 7-8 พันล้านบาท นอกเหนือจากภาษีเหล่านี้แล้ว รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดที่จะไปเพิ่มภาษีตัวอื่น
นายกฯ กล่าวว่า กรอบงบประมาณปี 2553 จำนวน 1.7 ล้านล้านบาท เป็นวงเงินที่ลดลงเกือบทุกกระทรวง ยกเว้น 2 กระทรวงที่ไม่สามารถปรับลดได้ คือ กระทรวงเทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสาร เพราะต้องจัดทำสำมะโนประชากร และกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องดูแลการชำระหนี้ของรัฐบาล หน่วยงานที่ถูกปรับลดมากที่สุดคือ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยตัดงบสร้างที่จอดรถใต้ดิน 800 ล้านบาท เพื่อให้เห็นว่าทุกหน่วยงานต้องกลับมาสำรวจแล้วปรับลดโครงการที่ไม่มีความ จำเป็นเร่งด่วน เพื่อที่จะได้ใช้งบประมาณให้คุ้มค่าที่สุด
แจงกู้เงินในประเทศ8แสนล้าน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า แม้มีการปรับลดงบประมาณลงไปแล้ว แต่รัฐบาลเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนใน 7 โครงการ คือ 1.การบริหารจัดการน้ำ เพิ่มพื้นที่ชลประทาน กระจายน้ำให้ทั่วถึงเพื่อสนับสนุนภาคการเกษตร 2.ระบบขนส่งคมนาคม โลจิสติกส์ ทั้งขนส่งมวลชน รถไฟรางคู่ ถนนหนทาง โดยเฉพาะถนนไร้ฝุ่น 3.ปรับปรุงด้านสาธารณสุข ทั้งเรื่องสถานีอนามัย และเรื่องการสร้างศูนย์ความเป็นเลิศในโรคที่สำคัญ ๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน โรคไต 4.การปรับปรุงสถานศึกษาโรงเรียน 5.การสนับสนุนการท่องเที่ยวและภาคการบริการ 6.ส่งเสริมสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และ 7.การพัฒนาพื้นที่พิเศษ
นายกฯ กล่าวด้วยว่า เงินกู้ 8 แสนล้านบาทที่จะนำมาใช้ในโครงการดังกล่าวเป็นเงินกู้ในประเทศ โดยเป็นการกู้เงินจากคนไทยด้วยกันเอง เช่น การออกพันธบัตร แยกเป็นงบลงทุน 6 แสนล้านบาท อีก 2 แสนล้านบาทจะมาบริหารทางการคลัง
โวอีก3ปีเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เป็นการลงทุนภายใต้กรอบความคิดว่าเราจะทำประเทศไทยเข้มแข็งภายในปี 2555 และการลงทุนตรงนี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีความพร้อมทางด้านการแข่งขัน จะได้ประโยชน์สูงสุดเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ขึ้นมา อย่างไรก็ตามการดำเนินการทั้งหมดจะ โปร่งใส หนี้สาธารณะของไทยอาจสูงขึ้นไปถึงประมาณร้อยละ 60 ของรายได้ประชาชาติ ซึ่งตามมาตรฐานสากลเป็นระดับที่ยอมรับกันได้ ที่สำคัญขณะนี้ประเทศอื่น ๆ ใช้แนวทางเดียว กันหมด
ส่วนการปรับลดงบประมาณของกองทัพนั้น นายกฯ กล่าวว่า ความจำเป็นของกองทัพยังมี แต่ที่ตัดออกไป เนื่องจากการจัดซื้ออาวุธจะทำในลักษณะรัฐต่อรัฐ แต่ขณะนี้การซื้อรัฐต่อรัฐอาจจะติดขัดมาตรา 190 ซึ่งเป็นปัญหากำลังหาทางออกอยู่ แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้กองทัพเสนอโครงการที่มีความจำเป็นกลับเข้ามา และจะพยายามให้สำนักงบประมาณหาเงินมาดูแล ซึ่งบรรดาผู้นำเหล่าทัพก็เข้าใจสถานการณ์ ยืนยันว่าเราไม่ได้ดู ว่างบเป็นของพรรคนั้นพรรคนี้ แต่เราดูที่ความจำเป็นเร่งด่วน
“พท.”เล็งตีความพ.ร.ก.กู้เงิน
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีรัฐบาลจะกู้เงิน 8 แสนล้านบาท แยกเป็นการออกพระราชกำหนดกู้เงิน 4 แสนล้านบาท และออกเป็นพระราชบัญญัติอีก 4 แสนล้านบาทว่า
รัฐบาลต้องการบิดเบือนข้อเท็จจริงในการตรวจสอบจากรัฐสภา ทั้งนี้การออก พ.ร.ก. ส่อไปในทางขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 และ 185 พรรคเพื่อไทยจะรวบรวมรายชื่อ ส.ส. 1 ใน 5 ยื่นต่อประธานรัฐสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า เรามีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องออกเป็น พ.ร.ก. หรือไม่
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อนายกฯ ระบุว่าเรื่องนี้โปร่งใส แล้วเหตุใดไม่ออกเป็น พ.ร.บ. เพื่อให้สภาตรวจสอบการใช้เงิน เพราะการกู้เงินที่สร้างภาระให้ประชาชนเป็นเวลาหลายปี ซึ่งเป็นงบที่ผูกพันต่อการบริหารงบ ประมาณแผ่นดินอย่างน้อยเป็นเวลา 9 ปี ตาม ที่กระทรวงการคลังได้คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ ตามพรรคยอมไม่ได้ที่เอะอะอะไรรัฐบาลก็ออก พ.ร.ก.กู้เงิน
เย้ย“กรณ์”เล่นหุ้นเจ๊ง100ล้าน
“วันนี้นายกฯ นำวิกฤติการเมืองมาเบี่ยงเบนการแก้วิกฤติเศรษฐกิจที่ล้มเหลว สถานการณ์วันนี้นายกฯต้องแก้ไข ฉะนั้นในอนาคตผมทำนายและพนันได้ว่ารัฐบาลจะขายรัฐวิสาหกิจเพื่อหาเงินแน่นอน งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 จำนวน 1.95 ล้านล้านบาท แม้รัฐบาลจะตัดลดจนเหลือ 1.7 ล้านล้านบาทนั้น สะท้อนความล้มเหลวในมาตรการใช้เงิน ส่วนการหาเงินของรัฐบาลนี้ พรรคมองไม่เห็นทาง เพราะในรอบ 5 เดือนมานี้ นายกฯแทนที่จะแก้วิกฤติ แต่นายกฯ กลับถนัดกู้ทุกอย่างที่ขวางหน้า” นายพร้อมพงศ์ ระบุและว่า อยากให้ย้อนประวัติศาสตร์ดูว่านายกฯ และ ครม.เศรษฐกิจชุดนี้เคยทำอะไรสำเร็จบ้างหรือไม่ อย่างเช่น นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ใช้เงินตัวเองเล่นหุ้น 6 เดือน เจ๊งร้อยล้านบาท
แนะฟื้น“หวยบนดิน”ช่วยศก.
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า ขอชื่นชมนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต รมช.คลัง ที่กระตุกและเหยียบเบรกการกู้หนี้ 8 แสนล้านบาทไว้ คนเก่ง ๆ ที่กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำแบบนี้ทำไมนายกฯ ไม่แต่งตั้งเป็นรองนายกฯ คุมทีม ครม. เศรษฐกิจ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยเห็นว่า ครม. เศรษฐกิจชุดนี้เป็นมือใหม่หัดขับที่ทำงานล้มเหลว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า ขอฝากไปถึงรัฐบาลว่า การพิจารณาเก็บภาษีมรดกและภาษีที่ดินที่รัฐบาลเคยพูดเรื่องนี้แล้วทำไมถึง เงียบไป ไม่กล้าทำใช่หรือไม่ กลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่ เพราะหากทำจริง ๆ แล้วกลัวจะไปเฉือนเนื้อพรรคพวกตัวเองเข้า อย่างไรก็ตามทางพรรคอยากให้รัฐบาลนำหวยใต้ดินขึ้นมาทำให้ถูกกฎหมาย ทำเป็นหวยบนดิน เพราะจะสร้างรายได้ให้รัฐบาลในการนำภาษีเข้ารัฐปีละ 7-8 หมื่นล้านบาท
“สมคิด”ฟันธงจีดีพีเกิน60%
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวในงานสัมมนาเรื่องพันธสัญญาใหม่เพื่ออนาคตไทยว่า ขณะนี้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้น้อยจึงต้องกู้เงินเพิ่ม คาดว่าหนี้ต่อจีดีพีในปีหน้าน่าจะเกินร้อยละ 60 หาก จำ เป็นต้องก่อหนี้อีกต้องพิจารณาว่าเงินที่จะใช้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรบ้าง กำหนดทิศทางให้ชัดเจน อย่านำโครงการเมกะโปรเจคท์มาปัดฝุ่น และไม่ควรมีนอมินีเข้ามาบริหารประเทศ เพราะจะไม่สามารถบริหารให้มีความน่าเชื่อถือ และเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศได้
“หากไม่มีความจำเป็นใด ๆ จะไม่เข้าไปเล่นการเมืองอีก แต่ขอวางบทบาทไว้ที่การเป็นที่ปรึกษาก็เพียงพอแล้ว หากเล่นการเมืองแล้วไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะติดเงื่อนไขทางการเมืองก็ขออยู่บ้านเลี้ยงลูกดีกว่า และขอเชิญชวนให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยกันเล่น การเมืองเพื่อพัฒนาประเทศโดยอย่าทอดทิ้งประเทศ เพราะปัจจุบันการเมืองมีตัวเลือกไม่มากนัก ดังนั้นหากไม่ต้องการเห็นประเทศเป็นกิ้งกือหกคะเมนก็ต้องเข้ามาช่วยกัน เพราะหากเกิดเหตุการณ์หกคะเมนขึ้น ประเทศจะไม่เหลืออะไรเลย” นายสมคิด ระบุ
นายกฯโต้ซื้อเวลาแก้รธน.ปี50
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” โดยปฏิเสธว่า รัฐบาลไม่ได้ซื้อเวลาเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ ตนพูดตั้งแต่วันแรกที่รัฐธรรมนูญผ่านประชามติว่า ต้องแก้ เพียงแต่ประเด็นที่ตนมองอาจไม่ตรงกับประเด็นที่คนอื่นอยากจะแก้ก็ได้ เพราะฉะนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้ไม่เป็นปมความขัดแย้ง คือ ต้อง มีกระบวนการที่เปิดกว้าง มีการแลกเปลี่ยนที่เปิดเผย สามารถนำมาพูดคุยได้ อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่พอใช้เวลาบ้างก็เลยมาบอกว่าเป็นเรื่องซื้อเวลา
“ผมซื้อเวลาทำอะไร จะไม่ทำเลยก็ได้เรื่องนี้ หรือผมจะทำทันที หรือจะประกาศว่า อีก 2 ปีค่อยทำ ก็สามารถที่จะพูดได้ทั้งนั้น แต่ผมแสดงให้เห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในใจของคนจำนวนมากที่มาชุมนุม เราต้องฟัง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ฟังคนที่ไม่มาชุมนุม เราก็ต้องเอาอันนั้นมาวางบนโต๊ะ มันก็ต้องใช้เวลาสักนิดหนึ่ง ผมคิดว่าทุกคนเข้าใจได้” นายกฯ กล่าว
ปัดซดเกาเหลา“ชวน-บัญญัติ”
ต่อข้อถามว่า ช่วงเวลานี้สมควรที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในบางมาตราเมื่อมีการใช้แล้วและเห็นได้ชัดว่ามันเป็นอุปสรรคหรือไม่ค่อย สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือสามารถปรับปรุงให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้นก็ สามารถทำได้ อย่างมาตรา 190 คิดว่าคงจะต้องมีความชัดเจนมากกว่านี้ วันนี้ที่ปฏิบัติยากไม่ใช่เรื่องหลักการ แต่มันไม่ชัดเจน การทำงานก็เลยดูไม่คล่องตัวเท่าที่ควร หรือปัญหาของ ส.ส. ที่เวลารับเรื่องราวร้องทุกข์ขณะนี้จะถ่ายทอดอย่างไรไม่ให้ถือว่าเป็นการไป แทรกแซงการปฏิบัติงานของราชการ
ส่วนที่มีข่าวว่า นายชวน หลีกภัย และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน มีท่าทีไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น นายกฯ กล่าวว่า ตนคุยกับทั้งสองท่านเป็นประจำ จุดยืนความคิดเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง คิดว่าประเด็นเรื่องแก้ไขหรือไม่แก้ไข ทั้งสองท่านไม่ได้มีปัญหา
ครวญ“ศัตรูการเมือง”เล่นแรง
“ที่จริงแล้วผมอยากจะบอกว่า ใน 4 เดือน ผมกล้าพูดได้ว่า สิ่งที่ออกไปค่อนข้างจะมากเทียบเคียงกับในอดีต 4 เดือนถือว่าทำงานกันเต็มที่จริง ๆ ผมไม่ท้อ ไม่มีสิทธิที่จะไปท้อถอย ผมเป็นผู้ที่อาสาตัว และผมต้องมีความรับผิดชอบ แต่ว่าถ้าหากว่าเราทำงานไม่ได้ ทำงานแล้วบ้านเมืองเสียหาย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่า 4 เดือนที่ผ่านมา ก็ผ่านอะไรมาเยอะ ถามว่าบางช่วงรู้สึกเหนื่อยไหม ก็ธรรมดา ในความเหนื่อยก็เป็นไปได้ ความเบื่อหรือบางครั้งความรู้สึกทำไมต้องเกิดสิ่งนี้กับเรา อย่างเช่น เหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดว่า พยายามทำร้ายผม เราก็คิด ที่คิดไม่ได้คิดว่าทำไมมีคนอยากจะมาทำร้ายเรา การเมืองเป็นเรื่องธรรมดาที่มีคู่แข่ง จะเรียกศัตรูทางการเมืองก็ว่าได้ แต่ผม ก็อยู่การเมืองมา 17 ปี 18 ปี ผมไม่เคยเห็นลักษณะที่ทำกันรุนแรงอย่างนี้ กล้าประกาศกันบนเวทีเลยว่า ไปไล่จับคนนี้ ไปไล่ล่าคนนี้ ไปทำร้ายคนนี้ ผมไม่เคยเห็น” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
“ชวน”ชี้ไม่แก้รธน.ชาติไม่พัง
ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศจุดยืนมาตั้งแต่ต้น ซึ่งในที่ประชุมพรรคก็มีความเห็นตามหัวหน้าพรรค ในฐานะที่ตนเป็นผู้ใช้รัฐธรรมนูญบอกได้ว่าปัญหาความแตกแยกขณะนี้ไม่ได้ เกี่ยวกับมาตราใดมาตราหนึ่งของรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ทำได้ ถ้าเป็นการแก้ไขให้ดีขึ้น ส่วนจะแก้มาตราใดนั้นขอให้คณะกรรมการที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์เคารพเสียงข้างมาก เมื่อถามว่าเป็นห่วงประเด็นการนิรโทษกรรมหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดกันถึงเรื่องนี้
“การเสนอแก้ไขก็มีบางมาตราที่ในหมู่ ส.ส. มีความเห็นร่วมกัน เช่น บทบาทของ ส.ส. ไม่สามารถเป็นเลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งตรงนี้ก็มีเหตุผล ส่วนมาตรา 190 เป็นที่รู้กันว่าจะหาทางทำให้เหมาะสมกว่านี้ได้อย่างไร แต่อย่าไปเข้าใจผิดว่าถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญแล้วบ้านเมืองจะแตกแยก” นายชวน ระบุ
โทรโข่ง“ปชป.”ยันไม่เตะถ่วง
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยบางคนขู่ว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจะยืดเยื้อหากไม่แก้รัฐธรรมนูญในทันที พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าไม่มีใครอยากเห็นภาพเช่นนั้นอีกในสังคมไทย การที่พรรคให้สาขาพรรคช่วยสะท้อนความคิดเห็นจากประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ถือ เป็นกระบวนการภายใน และเป็นการผ่านคณะกรรม การส่งเสริมประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์ โดยขณะนี้พรรคกำลังทำแบบสอบถามและทำคู่ ขนานกับการทำงานของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการ แก้ไขรัฐ ธรรมนูญ ไม่ได้ทำให้กระบวนการทำงานของคณะกรรมการช้าลงอย่างแน่นอน
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ไม่เข้าใจว่าผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย อย่างนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม และนายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร ที่กล่าวหาว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคกับหัวหน้าพรรค ซึ่งไม่เป็นความจริง สมาชิกและ ส.ส. สนับสนุนแนวทางของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคและนายกฯ
ย้ำไม่มีธงล่วงหน้า-วอนใจกว้าง
“ส.ส.ทั้งสองเป็นผู้ใหญ่ ขอให้โอกาสประเทศชาติและนักการเมืองในการแก้ไขปัญหาวิกฤติที่มีสาเหตุมาจาก การเมือง อยากให้แสดงถึงความใจกว้าง และขอย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคไม่มีธง หรือคำตอบก่อนกระบวนการรับฟังความคิดเห็นว่าจะต้องแก้ หรือไม่แก้ในมาตราไหน แต่การกระทำการใด ๆ ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน พรรคมั่นใจว่าคณะกรรมการจะคำนึงถึงความคาดหวัง และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการสร้างความปรองดองอย่างแท้จริง กระบวนการนี้ไม่มีประโยชน์อะไรถ้าดำเนินการแล้วถูกมองว่าเป็นการสมานฉันท์ เฉพาะนักการเมือง แต่สังคมไม่ยอมรับและไม่สามารถตอบได้ว่าสังคมได้ประโยชน์อะไร หากทุกฝ่ายให้โอกาส พรรคก็มั่นใจว่าการทำงานของคณะกรรมการจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ชงริบอำนาจ“ศาล”แจกใบแดง
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ กำหนดกรอบการทำงานให้ชัดเจนมากกว่านี้ และหากสรุปว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ควรกำหนดวิธีการแก้รัฐธรรมนูญว่าควรมีการ ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือใช้วิธีตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ
กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลควรประกาศเรื่องการแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นวาระแห่งชาติ สำหรับมาตรา 237 ควรคงเอาไว้ แต่พรรคการเมืองไม่ควรรับผิดชอบในการกระทำของสมาชิกบางคน ผู้รับผิดชอบควรเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค นอกจากนี้อยากให้ตัดมาตรา 239 วรรคสอง ที่โยนคดีการซื้อเสียงไปสู่ศาลออก เนื่องจากการพิจารณาคดีของศาลจะชั่งน้ำหนักที่พยานหลักฐาน ซึ่งคดีดังกล่าวจะหาพยานหลักฐานได้ยาก ดังนั้นจึงควรให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาตามความเชื่อจนถึงที่สุด พร้อมกันนี้อยากเสนอให้แก้ไขมาตรา 266 ที่ห้าม ส.ส. เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินด้วย และเมื่อกำหนดให้ ส.ส. เป็นรัฐมนตรีได้ก็ควรให้เป็นเลขานุการหรือที่ปรึกษารัฐมนตรีได้เช่นกัน
ฝ่ายค้านตั้ง5ฉายาแสบๆคันๆ
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะทำงาน โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-1 พ.ค. 2552 ประชาชนส่งข้อความและข้อร้องเรียนมาที่พรรคจนสามารถตั้งฉายาให้รัฐบาลได้ 5 เรื่อง คือ 1.นักสู้กู้สิบทิศ ที่ลงทุนสร้าง 8 แสนล้านบาท โดยนายกฯ เป็นนักแสดงนำ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นผู้กำกับ 2.รัฐบาลเนียนได้อีก คือ ทำอะไรที่ไหลลื่น ทั้ง ๆ ที่ปัญหามากมายกลับไม่ได้รับการแก้ไข รวมทั้งไม่มีคำตอบชัดเจนให้ประชาชน
3.รัฐบาลสายรุ้ง คือ สีเหลืองของพันธ มิตรฯ ที่ดูแล สีแดง คือ ปราบปราม นปช. ในช่วงสงกรานต์ สีเขียวคือทหารใช้อาวุธครบมือปราบสินค้าลิขสิทธิ์ย่านพัฒน์พงศ์ สีน้ำเงินคือกลุ่มกองโจรติดอาวุธ สีกากีคือตำรวจบางนายที่เกี่ยวข้อง สีม่วงคือกรมกร๊วก เตี้ยอุ้มค่อม หอยม่วง และสีดำคือยุคมืดในระบอบประชาธิปไตย 4.รัฐบาลเช็คช่วยเชียร์ 2 พันบาท และ 5.ทีม โทรโข่งเน่าเฝ้าแต่สร้างความขัดแย้ง ควรไปอ่านหนังสือสมบัติผู้ดีหรือไปชมละครดงผู้ดีก็ได้
โพลหวั่นแก้รธน.วิกฤติมาเยือน
วันเดียวกัน สำนักวิจัยเอแบคโพล มหา วิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่องถามใจประชาชนอยากแก้รัฐธรรมนูญจริงหรือ โดยศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัดทั่วประเทศรวม 1,348 ครัวเรือน พบว่า ร้อยละ 81.9 ทราบข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ร้อยละ 50.1 ไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในขณะที่ร้อยละ 45.6 ระบุว่าเคยอ่านบ้าง และร้อยละ 4.3 ระบุว่าเคยอ่านอย่างละเอียดทั้งฉบับ นอกจากนี้ร้อยละ 42.2 ไม่ทราบว่าเคยได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ ส่วนร้อยละ 57.8 ทราบว่าได้รับสิทธิต่าง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ร้อยละ 73.3 เห็นว่ากลุ่มนักการเมือง กลุ่มที่เสียอำนาจ เป็นกลุ่มคนที่จะได้รับประโยชน์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รองลงมา คือ ร้อยละ 67.1 รัฐบาลได้ประโยชน์ ร้อยละ 42.9 ระบุว่ากลุ่มนายทุนได้ประโยชน์ มีเพียงร้อยละ 24.2 ที่เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ร้อยละ 44.4 เห็นว่ารัฐธรรมนูญควรแก้ไข แต่ไม่ใช่ในเวลานี้ และร้อยละ 57.7 กังวลว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง เศรษฐกิจแย่ลง และกลัวการยึดอำนาจ นอกจากนี้ร้อยละ 54.6 เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันดีกว่ารัฐธรรมนูญปี 2540.
Sunday, May 10, 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment