Wednesday, May 13, 2009

“เทพไท” ซัด “พร้อมพงศ์” เผาบ้านตัวเอง ดึงยูเอ็นสอบสลายม็อบ

“เทพไท” ซัด “พร้อมพงศ์” เผาบ้านตัวเอง กลับไปร้องยูเอ็นให้สอบเหตุสลายม็อบเสื้อแดง เย้ยทั้งที่ก่อนหน้า “พ่อแม้ว” ไม่เคยให้ความสำคัญกับยูเอ็น แนะให้ตรวจหลักฐานให้ชัดเจนก่อน หวั่นตัดต่อเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล เรียกร้อง “แก๊งหัวขวด” หัดรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วย

วันนี้ (13 พ.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่โฆษกพรรคเพื่อไทยและคณะไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อเจ้า หน้าที่สิทธิมนุษยชนประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อขอให้ตรวจสอบการสลายการชุมนุมของทหารในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาว่า เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ถ้าถามถึงความเหมาะสมในการเอาเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศไป ยื่นต่อองค์กรระหว่างประเทศ เหมาะสมหรือไม่ เพราะครั้งหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีการเรียกร้องให้องค์กรสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบการทำฆ่า ตัดตอนที่อ้างว่าทำสงครามกับยาบ้าและมีคนตายไปกว่า 2,500 ศพ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธที่จะให้องค์กรเหล่านี้มายุ่งเกี่ยว โดยเอ่ยประโยคเด็ดที่ว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” มาถึงวันนี้ทำไมลิ่วล้อของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเห็นความสำคัญของยูเอ็น หรือว่ายูเอ็นกลับมาเป็นพ่อแล้วในวันนี้ ซึ่งเหตุการณ์ในกรณีดังกล่าวยังมีองค์กรภายในประเทศอีกหลายองค์กรที่สามารถ แสวงหาความจริงและให้ความยุติธรรมกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือแม้แต่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สภาฯ ตั้งขึ้น รวมถึงข้อมูลข่าวสารที่บรรดาสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ได้รายงานข่าวในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวก็น่าจะเป็นองค์กรที่มีความเหมาะสมใน การตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้

นายเทพไทกล่าวต่อว่า สำหรับหลักฐานที่อ้างว่าเป็นคลิปวิดีโอและภาพถ่ายของทหารที่เข้าควบคุมการ ชุมนุมของม็อบคนเสื้อแดงและมีการมาขยายประเด็นบิดเบือนต่อสังคมว่ามีคนบาด เจ็บและสูญหายจากเหตุการณ์นี้จำนวนมากนั้น จนถึงวันนี้ยังไม่ปรากฏภาพข่าวดังกล่าวผ่านสื่อสารมวลชนทั้งไทยและเทศแม้แต่ ภาพเดียว และยอดจำนวนของผู้คนที่อ้างว่าสูญหายจำนวนมาก ทำไมไม่เปิดเผยออกมาว่ามีกี่คนเพื่อให้สังคมได้ตรวจสอบในเบื้องต้น การนำหลักฐานที่อ้างไปยื่นต่อยูเอ็น ไม่มีหลักประกันใดว่าหลักฐานดังกล่าวไม่ถูกตัดต่อหรือเสริมแต่งขึ้นเพื่อ สร้างความเสียหาย และดิสเครดิตรัฐบาล เหมือนกับเหตุการณ์การปล่อยข่าว หรือบิดเบือนประเด็นกรณีที่ว่านายกฯ ไม่อยู่ในรถที่ถูกทุบในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วเพราะมีภาพข่าวปรากฏชัด แต่ก็ยังมีความพยายามบิดเบือนข่าวอย่างน่าละอายที่สุด

ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดที่ประกาศว่าจะไปยื่นต่อองค์กรระหว่างประเทศ อีกหลายองค์กรนั้น เป็นกระบวนการเคลื่อนไหวที่สร้างภาพความชอบธรรมให้แก่ตนเองและกลุ่ม โดยปฏิเสธความรับผิดชอบกับผลกระทบที่สังคมไทยโดยรวมได้รับคือ การทำลายความเชื่อมั่นของชาติในด้านต่างๆ เพื่อยัดเยียดและโยนความผิดให้กับรัฐบาลและฝ่ายทหารที่เป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินแทนว่าเป็นผู้ก่อความรุนแรง ทั้งๆ ที่เหตุความวุ่นวายทั้งหลายในช่วงนั้นเกิดจากการปลุกระดมของแกนนำ นปช.และ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น

โฆษกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า ตนจึงอยากเรียกร้องให้แกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงกล้าออกมารับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากถามว่าตอนที่แกนนำ นปช.ขึ้นปราศรัยบนเวทีโดยการปลุกระดมอย่างบ้าระห่ำให้มวลชนใช้ความรุนแรง แต่เมื่อมวลชนใช้ความรุนแรงตามคำปลุกระดม เหตุใดแกนนำจึงไม่แสดงความกล้าหาญแอ่นอกรับกับพฤติกรรมของคนเสื้อที่ก่อขึ้น ผู้นำมวลชนที่ดีต้องกล้าหาญยืนแถวหน้าทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถ้าประกาศตัวเป็นแม่ทัพต้องแสดงตัวเป็นผู้นำตลอดเวลา ไม่ใช่ถึงเหตุหน้าสิ่วหน้าขวานก็กระโดดหนีเอาตัวรอด แม้แต่ปัจจุบันก็ไม่กล้าที่จะเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง เชื่อว่าหลังจากปิดสมัยประชุมสามัญนี้ แกนนำ นปช.ทุกคนก็คงจะเข้ามอบตัวและยื่นขอประกันตัวต่อศาล จึงขอให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับตาการเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ว่า มีการฝ่าฝืนเงื่อนไขในการให้ประกันตัวของศาลหรือไม่ ถ้ามีการฝ่าฝืนจริง ตำรวจต้องเร่งรัดยื่นเรื่องถอนประกันในทันที โดยไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้ลอยหน้าลอยตากลับมาปลุกระดมมวลชนสร้างความวุ่นวาย สับสนและแตกแยกต่อสังคมและชาติไทยต่อไป

No comments:

Post a Comment