Thursday, May 14, 2009

ส.ส.เปิดศึกกลางสภาวางมวยโวยมั่วเสียบบัตรแทน

"อภิชาติ"อ้างไม่ได้ชกเพื่อไทยโดนใบแดง!โหรชี้ยุบสภาปลายปี

ผู้ทรงเกียรติเปิดศึก “ต่อย-ถีบ” กลางสภาอีกแล้ว “อภิชาติลูกพระแม่ธรณี” งัดอาวุธแม่ไม้มวยไทยใส่ “สมคิดศิษย์ทักษิณ” แต่คนห้ามเจอลูกหลงระนาว ต้นเหตุ “พท.” ปูด “ปชป.” เสียบบัตรแทนกันแล้วลุกลามด่าทอก่อนจบลงด้วยอารมณ์ ฝ่าย “เสี่ยอภิชาติ” ยันไม่ได้เงื้อหมัด ฮึ่มเดือดแทนพี่ชายถูกหยามเชิงชาย ส่วน “ปชป.” เรียงหน้าแจงหน้าซื่อ ประเคนข้อหายั่วยุ-เหมือนขี้เมา แถมโยนบาป “ทีวี” เป็นแพะ อ้างมุมกล้องรุนแรงเกินจริง ฟากคู่กรณี “ครูสมคิด” ทำงงไม่รู้ใครต่อย เผย “อภิชาติ-ประมวล” ผสมโรงด้วย ส่วน “ปู่ชัย” เล่นบทกรรมการห้ามมวยจนหวิดเสียเหลี่ยม ขณะที่ “รัฐสภา” ไฟเขียวกรอบเจรจา 4 ฉบับ ไม่วางใจเงินกู้ในอุ้งมือ “ภท.” เฉียด 2 หมื่นล้าน “พ.ร.ก.เงินกู้” 4 แสนล้านมีคิวเข้าสภาวันจันทร์นี้ ส่วนรอยร้าว “รัฐนาวา” ยังอึมครึมไม่เลิก “มาร์ค-เจ๊วา” ซัดกันคนละดอก แต่ยังเสียงแข็งไม่แตก หึ่ง ! “เติ้ง” หนุน พ.ร.ก.กู้เงินบีบแลกนิรโทษกรรม “โหรวารินทร์” โผล่ฟันธงสิ้นปีนี้ยุบสภา ขณะที่ “ศาล” ให้ใบแดง “เพื่อไทย” ส่วน “ปชป.” รอด 4 คดี

ประชุม“รัฐสภา”ป่วนตั้งแต่ต้น

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญทั่วไป) เพื่อให้ความเห็นชอบกรอบข้อตกลง อาเซียนกับประเทศคู่เจรจาและกรอบการเจรจาเงินกู้ รวม 4 ฉบับที่ค้างมาจากการพิจารณาวันที่ 12 พ.ค. โดยทันทีที่เข้าสู่วาระการประชุม ส.ส. พรรคเพื่อไทยหลายคนได้ลุกขึ้นทักท้วงกรณีนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้ให้รัฐมนตรีเสนอกรอบการเจรจาต่าง ๆ พร้อมกัน 4 ฉบับเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เนื่องจากแต่ละฉบับมีรายละเอียดแตกต่างกันจึงควรเสนอและพิจารณาทีละฉบับ แต่นายชัย ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม ยืนยันว่าสามารถทำได้และพร้อมรับผิดชอบ อีกทั้งยังท้าให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วย

จากนั้นจึงขอนับองค์ประชุมก่อนเริ่มเข้าสู่การพิจารณาตามระเบียบวาระ ซึ่งระหว่างรอการนับองค์ประชุม นายสมคิด บาลไธสง ส.ส. หนองคาย พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า ขออนุญาตประธานเดินตรวจการเสียบบัตรลงคะแนนของสมาชิกรอบห้องประชุมว่ามีการ เสียบบัตรแทนกันหรือไม่ เพราะเท่าที่ดูสมาชิกไม่น่าครบองค์ประชุม

ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ เปิดศึกกำปั้น

อย่างไรก็ตามนายชัยได้พูดสวนว่า “เป็นถึงครูบาอาจารย์ ขอให้มีมารยาทหน่อย” แต่นายสมคิด ตอบโต้กลับว่า “คนที่ไม่มีมารยาทคือพวกที่ชอบเสียบบัตรแทนกัน” เมื่อนายสมคิดกล่าวจบ นายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตะโกนด่าว่า “ไอ้สัตว์ กูทนมึงมานานแล้ว” พร้อมกวักมือเรียกนายสมคิดซึ่งนั่งอยู่ในซีกฝ่ายค้านให้เข้ามาตรวจสอบการ เสียบบัตรของตัวเองด้วย นายสมคิดจึงเดินปรี่เข้าไปบริเวณที่นั่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ตามคำท้า และใช้คำพูดหยาบคายตอบโต้กันเสียงดังลั่นห้องประชุม “อ้าว เป็นสัตว์เหรอ นึกว่าคน”

ทำให้นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชร บุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่นั่งอยู่ใกล้นายประมวล ลุกปรี่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและเดินตรงรี่มาที่นายสมคิดที่กำลังเดินเข้าไปหา เช่นกัน ท่ามกลาง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลจำนวนมาก รวมทั้งนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ที่ต่างกรูกันมาห้ามปรามเพื่อแยกทั้งสองฝ่าย โดยนายอภิชาติ ได้พยายามสาวหมัดและถีบนายสมคิด แต่ไม่ถูกคู่ กรณี ส่วนคนห้ามกลับโดนลูกหลงแทน

“ชัย”มึนหวิดเสียเชิงบนบัลลังก์

ภายหลังเกิดเหตุวิวาท นายชัย ได้พยายามขอร้องให้ทุกคนอยู่ในความสงบและ ขอให้ทุกคนเสียบบัตรแสดงตนอีกครั้ง โดยนาย สมคิดที่เดินกลับไปนั่งที่ของตัวเองได้กดไมโคร โฟนฟ้องประธาน และกวักมือเรียกนายประมวล ให้มาเจอกันอีกครั้งหนึ่งพร้อมทั้งกล่าวว่า “มาเลย ผมไม่กลัวมัน” ทำให้ประธานได้ขอร้องให้ทุกฝ่ายยุติ โดยกล่าวว่า จะเรียกทั้งคู่มาหารือกัน เพราะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น

เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลายลงแล้ว นายชัยได้แจ้งต่อที่ประชุมว่ามีผู้เสียบบัตรแสดงตนจำนวน 311 คน ถือว่าเกินกึ่งหนึ่งแล้ว จากนั้นขอให้ที่ประชุมลงมติว่าจะให้ความเห็นชอบร่างพิธีสารฉบับที่ 3 เพื่อแก้ไขสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ ครม. เป็นผู้เสนอหรือไม่ เมื่อลงคะแนนเสร็จแล้วนายชัย ได้ประกาศว่า ขณะนี้มีผู้แสดงตนอยู่ในห้องประชุม 307 เสียง ให้ความเห็นชอบกับร่างพิธีสารดังกล่าวด้วยคะแนน 287 ต่อ 0 งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 12

ต้องนับองค์ประชุม-ลงมติ2รอบ

พอประธานขานคะแนนจบ นายสุร พงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย จึงได้ลุกขึ้นประท้วงว่า องค์ประชุมไม่ครบ ประธานอย่ามั่ว เนื่องจากมีผู้อยู่ในที่ประชุมแค่ 307 เสียง ซึ่งไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ทำให้นายชัยต้องสั่งพักประชุมเป็นเวลา 5 นาทีทันที และเมื่อกลับมาประชุมอีกครั้ง ที่ประชุมยังถกเถียงเรื่ององค์ประชุม ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้มีการนับองค์ประชุมใหม่ แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แย้งว่า ต้องถือว่าร่างพิธีสารดังกล่าวตกไปแล้ว เพราะการลงคะแนนได้สิ้นสุดแล้ว

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ประชุมใช้เวลาถกเถียงกันนานกว่า 10 นาที ในที่สุดที่ประชุมจึงได้นับองค์ประชุมใหม่เป็นครั้งที่สอง พบว่ามีสมาชิกอยู่ในห้อง 328 คน จากนั้นจึงได้ลงมติร่างพิธีสารฉบับที่ 3 อีกครั้ง ปรากฏว่ามีผู้ให้ความเห็นชอบ 302 ต่อ 0 งดออกเสียง 9 ไม่ลงคะแนน 15 จากนั้นจึงเข้าสู่การพิจารณากรอบการเจรจากู้เงินจากต่างประเทศตามแผนการก่อ หนี้ต่างประเทศประจำปีงบประมาณ 2552 วงเงิน 1.98 หมื่นล้านบาท

“สมคิด”อ้างจำชื่อคนต่อยไม่ได้

ต่อมาเวลา 11.45 น. นายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ได้ลงมาแถลงถึงเหตุชุลมุนกลางห้องประชุมร่วมรัฐสภาว่า ภายหลังประธานสภาอนุญาตให้เดินตรวจการเสียบบัตร ปรากฏว่ามี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งซึ่งตนจำชื่อไม่ได้ แต่จำหน้าได้ ได้กวักมือเรียกตนเข้าไปหาโดยระบุว่า “มึงมานี่” พอเข้าไปใกล้ ส.ส.คนดังกล่าวก็ได้ตะโกนด่าว่า “ไอ้สัตว์ กูทนมึงมานานแล้ว”

ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า ตนจึงสวนกลับไปว่า “กูนึกว่ามึงเป็นคน มึงเป็นสัตว์ เหมือนกูเหรอ” จากนั้น ส.ส.คนดังกล่าวได้พยายามกระโดดเข้ามาชกตนแต่ไม่ถึง เพราะมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มากันไว้ จากนั้นนาย อภิชาติ สุภาแพ่ง และนายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ามาร่วมผสมโรงจะเอาเรื่องตนด้วย แต่ได้ถูกห้ามปรามไว้จนเกิดเหตุชุลมุน ซึ่งระหว่างนั้นตนก็ยืนดูว่า ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์จะชกตนจริงหรือไม่ ซึ่งถ้ามีการชกจริง ตนจะยืนให้ชก ไม่ตอบโต้

วอน“ปชป.”ปรามพวกใจร้อน

“พฤติกรรมของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ผมไม่เคยใส่ใจ ถึงขนาดเคยด่าว่าผมไปเห่า หอนในสภาระหว่างที่มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเหตุการณ์สลายม็อบช่วง เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา” นายสมคิด ระบุ

นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นเมื่อนายชัยปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับการ ประชุมรัฐสภา เมื่อสมาชิกไม่ครบองค์ประชุม ประธานไม่ควรดำเนินการประชุมต่อ แต่ประธานอ้างว่ามีสมาชิกครบองค์ประชุม 311 เสียง แต่จากการลงมติกลับมีเพียง 307 เสียงเท่านั้น เมื่อเสียบบัตรนับองค์ประชุมใหม่ก็เป็นสิทธิของ ส.ส.ในการเดินตรวจเพื่อป้องกันการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน จึงอยากเรียกร้องประธานสภา ประสานไปยังผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ช่วยปรามลูกพรรคให้ปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม

“ปชป.”โต้มุมกล้องเป็น“แพะ”

คล้อยหลังการแถลงของนายสมคิดไม่นาน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ ส.ส.สัดส่วน และโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์อีกหลายคนได้มานั่งแถลงข่าวชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นพ. บุรณัชย์ แถลงว่า เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่นายสมคิดพยายามยั่วยุ ทั้งจากกิริยามารยาทและคำพูดในที่ประชุมว่ามีการเสียบบัตรแทนกันโดยไม่มี หลักฐาน และยังจะขอมาเดินตรวจ ทั้งที่ถ้าพบว่ามีการเสียบบัตรแทนกันจริงก็จะต้องอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับ จุดที่นายสมคิดนั่งอยู่ แต่นายสมคิดได้เดินย้อนหลังมากว่า 10 แถว และยังมีกิริยาท่าทีหาเรื่อง จึงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ขอยืนยันว่าไม่มี ส.ส.ของพรรคไปด่าหรือจะไปชกต่อยนายสมคิดในห้องประชุมสภา แต่ภาพที่ออกไปอาจจะเป็นเรื่องของมุมกล้อง แต่จริง ๆ แล้ว ทุกคนพยายามห้ามเพื่อไม่ให้สภาอันทรงเกียรติต้องเสื่อมเสีย

เฉไฉ“อภิชาติ”ต่อยไม่โดนตัว

เมื่อถามว่าเหตุใดจึงไม่นำ นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ มาแถลงข่าวด้วย เพราะในภาพข่าวเห็นนายอภิชาติตรงเข้าไปจะชกนายสมคิด โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า ไม่มีการชกต่อยโดนตัวแน่นอน ส่วนภาพที่เห็นอาจเป็นเรื่องของมุมกล้อง เพราะที่จริงแล้วนายอภิชาติอยู่ไกลจากนายสมคิดพอสมควร คงไม่สามารถกระโดดไปชกต่อยได้ แต่อยากให้ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่นายสมคิดอภิปรายในสภา และเดินเข้ามาหาเรื่องแบบคนที่เมาสุรา ตนขอให้ไปตรวจสอบภาพจากรัฐสภาได้ ถ้ามีภาพและเสียงจะรู้ได้ทันทีว่าเหตุการณ์วุ่นวายนี้เกิดจากจุดใด ทั้งนี้ยอมรับว่าการพูดจาและท่าทางของนายสมคิดทำให้ ส.ส.หลายคนไม่พอใจ

ขณะที่นายประมวล ยอมรับว่า เดินเข้าไปหานายสมคิดจริง เพราะนายสมคิดบอกให้ไปเจอกันข้างนอก จึงตั้งใจว่าจะไปเจอกันข้างนอก ถ้าอยู่ในห้องประชุมขอยืนยันว่าตนไม่มีทางใช้กำลังเด็ดขาด เพราะเห็นแก่สภาอันทรงเกียรติ แต่หากอยู่ข้างนอกแล้วไม่รับประกันเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร

ปูดได้กลิ่น“เหล้า”คลุ้งทั่วห้อง

นายกัมพล สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า ตอนที่นาย สมคิดเดินมา ตนในฐานะที่เป็นครูด้วยกันมาก่อน และมีอาวุโสมากกว่า จึงได้กวักมือเรียกนายสมคิดให้มาพูดคุยกันเพื่อจะบอกว่าคนที่เคยเป็นครูควร มีมารยาทและจริยธรรม แต่ไม่ได้ด่าอะไรนายสมคิดและไม่ได้เข้าไปชกต่อยตามที่นายสมคิดกล่าวอ้าง แต่นายสมคิดกลับพยายามยั่วยุตลอดเวลา

นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี และรองโฆษกประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนนั่งอยู่ข้างหลัง ซึ่งเห็นชัดเจนว่านายสมคิดเดินมาตามที่นายกัมพลกวักมือเรียก แล้วตะโกนบอกว่า “มึงกับกูไปเจอกันข้างนอก” แต่นายกัมพลไม่ได้ ต่อว่าใด ๆ นอกจากนี้ตอนที่นายสมคิดพูดอยู่ ใกล้ ๆ ตนได้กลิ่นแอลกอฮอล์ ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่อาจจะเป็นไปได้ว่ามีคนดื่มสุราเข้ามาก่อนการประชุม แล้วจึงมาป่วนให้การประชุมเป็นไปอย่างไม่เรียบร้อย

“อภิชาติ”ระบุไม่ได้ง้างหมัดชก

นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เหตุที่เกิด เพราะมาตีรวนก่อน ขอเช็กองค์ประชุม พอเช็กเสร็จก็หาว่ามีการเสียบบัตรแทนกัน จากนั้นนายสมคิดก็เอามือถือเดินมาถ่าย นายกัมพล สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พี่ชายตนเลยเตือนไปว่า ทำอย่างนี้ไม่ถูก แต่นายสมคิดกลับด่าพี่ชายตนเสีย ๆ หาย ๆ และท้าให้ไปชกต่อยกันนอกห้องประชุม ด้วยสัญชาตญาณความเป็นพี่น้องเลยลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมไปทันที ตั้งใจจะไปไล่ให้นายสมคิดกลับ แต่เพื่อน ส.ส. คิดว่าจะมีเรื่องเลยเข้ามาล็อกไว้ก่อน

เมื่อถามว่า ตั้งใจเดินไปหาเรื่องใช่หรือไม่ ส.ส.เลือดร้อน ปฏิเสธว่า ตนตั้งใจแค่ไปไล่ให้นายสมคิดกลับที่นั่งเท่านั้น เพราะปกติก็คุยไม่รู้เรื่อง และท่าทางเหมือนคนเมาอยู่แล้ว เมื่อถามถึงภาพง้างหมัดที่มีโทรทัศน์หลายช่องจับภาพไว้ได้จะชี้แจงอย่างไร นายอภิชาติ กล่าวว่า ไม่ได้ง้างหมัด แต่พอถูกเพื่อนล็อกไว้ แขนมันเลยชูขึ้น

ฮึ่มไม่ยอมให้ใครมาหยามเชิงชาย

“ผมไม่ใช่คนใจร้อน แต่ไม่ชอบให้ใครมีเรื่องกับเรา เหตุที่เกิดขึ้นอยากให้ประชาชนคิดเองว่า ถ้าไม่ลุกมาเดินหาเรื่อง จะมีเรื่องไหม แล้วเราไปด่าทออะไรหรือเปล่า เขากลับเป็นฝ่ายหาเรื่อง แล้วท่าทีก็เหมือนคนเมา เขาเดินเข้ามาถึงในบ้านของเรา เป็นใครก็ไม่ยอม มันหยามเชิงชายกันเกินไป” นายอภิชาติ ระบุ

ส่วนกรณีที่นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส. ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์เอานักเลงเข้ามาอยู่ในสภานั้น ส.ส.เพชรบุรี กล่าวว่า “ผมไม่ใช่นักเลง ผมไม่ยอมนักเลง ผมเป็นคนตรงไปตรงมา และชอบความยุติธรรม ใครมารวนอีก ผมไม่ยอม ก็จะเจอแบบนี้อีก เพราะผมมีศักดิ์ศรีพอ แต่คิดว่านายสมคิดคงไม่กล้าหรอก”

ชี้ รบ. กู้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในช่วงเช้าก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา นายประสพ สุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธาน รัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือ โดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัด ส่วน พรรคเพื่อไทย ได้หารือว่าขณะนี้ประชาชนทั่วประเทศเดือดร้อนจากที่รัฐบาลขึ้นภาษีสารพัด ไม่รู้จะจบตรงไหน เป็นผลมาจากที่รัฐบาลกู้เงินจำนวน 8 แสนล้านบาทมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ กรุงรัตนโกสินทร์ หาก ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งไม่โหวตให้รัฐบาลชุดนี้ออกกฎหมายขึ้นภาษีอัน เนื่องจากรัฐบาลไปกู้เงินมาก็จะทำให้ประชาชนยกย่องสรรเสริญ เป็นการช่วยเหลือประชาชน

ส่วนการประชุมอาเซียนที่ยกเลิกไปนั้น ส.ส.สัดส่วนรายนี้ กล่าวว่า เป็นเพราะรัฐบาลมีที่มาไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่ให้ทีมรักษาความปลอดภัยของผู้นำ พกอาวุธเข้ามาป้องกันตัวได้ สะท้อนให้เห็นว่าปากพาจน

หนุน“มาร์ค”ตอกลิ่มพรรคร่วม

นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ได้หารือกรณีกระทรวงพาณิชย์ประมูลข้าวโพดกว่า 4 แสนตันว่า เรื่องนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร เพราะราคาที่กระทรวงพาณิชย์รับซื้อ 3.50 บาทเป็นราคาที่ต่ำหากเทียบกับราคาการรับซื้อข้าวโพดในรัฐบาลที่ผ่านมา อยากถามว่าทำไมต้องรับซื้อในราคาที่ต่ำเช่นนี้ ทั้งที่สามารถนำไปขายในต่างประเทศได้ หากเป็นเช่นนี้จะทำให้ในปีหน้าเกษตรกรไร่ข้าวโพดเจ๊งแน่

ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า ตนเห็น ด้วยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่ไม่เห็นด้วยกับกระทรวงพาณิชย์ซึ่งต้องเข้าใจว่าไม่ได้เป็นเอกเทศ ต้องทำตามรัฐบาลโดยเฉพาะนายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ที่ออกมาพูดท่าทีไม่ฟังรัฐบาล ถ้าตนเป็นนายกฯ คงสั่งย้ายไปที่อื่นแล้ว เพราะถือว่าเป็นการขัดขวางนโยบายรัฐบาล

ติงเงินกู้2หมื่นล.อยู่ในมือ“ภท.”

ภายหลังที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้พิจารณากรอบการเจรจากู้เงินจากต่าง ประเทศ ตามแผนการก่อหนี้จากต่างประเทศประจำปีงบประมาณ 2552 วงเงิน 1.98 หมื่นล้านบาท เป็นเวลานานกว่า 6 ชั่วโมง ท้ายที่สุดที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 285 ต่อ 50 งดออกเสียง 19 ไม่ลงคะแนน 17 ทั้งนี้ภายใต้แผนดังกล่าวแยกเป็น 4 โครงการ คือ 1.โครงการก่อสร้างทางสายหลักให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ของกรมทางหลวง จำนวน 170.3 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ 2.โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้า พระยา ถนนนนทบุรี 1 ของกรมทางหลวงชนบท จำนวน 80.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3.โครงการปรับปรุงกิจการประปาแผนหลัก ครั้งที่ 8 ของการประปานครหลวง จำนวน 60.61 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ และ 4.โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เส้นทางบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค จำนวน 289 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสมาชิก รัฐสภาได้ตั้งข้อสังเกตว่าทุกโครงการเป็นโครงการระยะยาว ไม่ใช่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่สำคัญทุกโครงการอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยทั้ง สิ้น

พ.ร.ก.กู้4แสนล.เข้าสภาจันทร์นี้

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า รัฐบาลประเมินแล้วว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะดำเนินโครงการเหล่านี้ เพื่อสร้างงานให้กับประชาชน เพราะจะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญเป็นจังหวะที่ภาคเอกชนไม่มีความพร้อมที่จะลงทุน ขณะที่นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าว ว่า โครงการทั้งหมดมาจากรัฐบาลชุดก่อนและมาสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ ยืนยันว่าทุกโครงการโปร่งใส ส่วนเรื่องค่าเคก็มีกันทุกประเทศ การจะคาดการณ์ไปต่าง ๆ นานาไม่มีประโยชน์ หากมีอะไรตนพร้อมรับผิดชอบทั้งทางสังคมและทางกฎหมาย

ต่อจากนั้นที่ประชุมได้พิจารณากรอบข้อตกลงอีก 2 เรื่องซึ่งการพิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะให้ความเห็นชอบข้อเสนอผูกพันเปิดตลาดการค้าบริการของไทยชุดที่ 7 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน และกรอบการเจรจาร่างพิธีสารว่าด้วยการค้าผลิต ภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย และก่อนปิดประชุม นายชัยได้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดพิเศษในวันที่ 18 พ.ค. เวลา 09.30 น. เพื่อพิจารณา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ จำนวน 4 แสนล้านบาท

“เติ้ง-ตือ”ดอดหารือที่บ้านพิษฯ

อีกด้านหนึ่ง ที่บ้านพิษณุโลก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กับนายบรรหาร ศิลปอาชา นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตแกนนำพรรคชาติไทย โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ร่วมโต๊ะด้วย หลังจากร่วมรับประทานอาหารและหารือกันเป็นเวลา 1 ชั่วโมง นายอภิสิทธิ์ ได้เดินทางไปยังรัฐสภาโดยที่ไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากพรรคชาติไทยพัฒนาแล้ว ไม่ปรากฏแกนนำจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นร่วมหารือด้วย โดยทั้งนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันว่า ไม่ได้รับการประสานจากพรรคประชาธิปัตย์ ข่าวแจ้งว่ามีความเป็นไปได้ว่าการหารือดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องการแก้ไข รัฐธรรม นูญและนิรโทษกรรมที่พรรคชาติไทยพัฒนาเห็นต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่น

“มาร์ค”รับ“ข้าวโพด”โชยกลิ่น

ก่อนหน้านี้ ที่สโมสรกองทัพบก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวความขัดแย้งกับนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ในที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 13 พ.ค. เกี่ยวกับโครงการระบายข้าวโพดว่า การระบายข้าวโพด 4 แสนตันทำไปโดยมีกลไกที่เกิดขึ้นจากมติ ครม. เดิมแล้วมาซ้อนกับกลไกที่รัฐบาลปัจจุบันตั้งขึ้น ซึ่งกรณีข้าวโพดมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เป็นประธานและเห็นว่าการระบายข้าวโพดดังกล่าวยังไม่ได้พิจารณาให้ครบถ้วนก็ จะรับไปดูแลเรื่องนี้เท่านั้น

ต่อข้อถามว่า 1 ใน 4 บริษัทที่เข้าประมูลกวาดโควตาไปมากที่สุด นายกฯ ตอบว่า “ตรงนี้เป็นเรื่องที่คณะกรรมการนโยบายต้องไปกำหนดหลักเกณฑ์ให้ได้ เพราะเรากังวลเนื่องจากต้องยอมรับว่าทุกตัวที่จะขายออกไปโอกาสขาดทุนสูงอยู่ แล้ว เพราะระบบที่เรารับจำนำมาในราคาที่สูงกว่าตลาดมันเป็นปัญหา ฉะนั้นจึงต้องบริหารจัดการให้รอบคอบที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุด”

เผยต้องเข้าไปดูเรื่อง“ข้าว”ด้วย

ส่วนปัญหาจะลุกลามทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจ เพราะเป็นการขัดผลประโยชน์พรรคร่วมนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกคนมาอยู่ในรัฐบาลต้องมีเป้าหมายการบริหารที่ตรงกัน กรณีนี้คือเราต้องระบายสินค้าเกษตรให้ขาดทุนน้อยที่สุด มีความโปร่งใส เมื่อถามย้ำว่า คิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเข้าใจหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าเข้าใจ ที่ประชุมพิจารณาเรื่องนี้กันนานพอสมควร สุดท้ายก็เข้าใจตรงกันแล้วว่าต่อไปจะต้องทำอย่างไร

เมื่อถามว่า มองว่าโครงการดังกล่าวมีการคอร์รัปชั่นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คณะกรรม การนโยบายต้องไปหาคำตอบ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องข้าวโพด ยังมีเรื่องข้าวที่กำลังติดตามอยู่ด้วยที่มี การตั้งข้อสังเกตอยู่มาก และรัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปดูตรงนี้ ไม่เพียงแต่เรื่องความโปร่งใสเท่านั้น แต่ถ้าการดำเนินนโยบายเรื่องนี้ไม่ดีแล้วมีแต่จะสร้างปัญหามากยิ่งขึ้นในการ บริหารจัดการพืชผลทุกตัว อย่างไรก็ดี รมว.พาณิชย์ ยืนยันว่าพยายามทำอย่างดีที่สุด ยอมรับว่าในที่ประชุม ครม. มีการพูดคำว่า 2 มาตรฐาน แต่ตนไม่ทราบว่าหมายถึงใคร เพราะสอบถามไปแล้วไม่มีคำตอบ

ปัดพัลวันรัฐนาวาไม่มีรอยร้าว

ต่อข้อถามว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะบานปลายไปถึงขั้นรัฐบาลทำงานร่วมกันไม่ได้จนต้อง ยุบสภาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ผมคิดว่าคงจะไม่ ต้องทำความเข้าใจกัน แต่หน้าที่ของผมคือ เมื่อเป็นผู้ดูแลรัฐบาลอยู่ ก็ต้องให้รัฐบาลทำในสิ่งที่ดีที่สุด แล้วต้องแก้ปัญหาให้ได้ เพราะมาอยู่ตรงนี้ก็เพื่อทำงานให้สำเร็จ” เมื่อถามว่า มีข่าวว่าอาจมีรัฐมนตรีลาออกหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาขัดแย้งได้ นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าน่าจะพูดคุยกันได้ แต่ยืนยันว่าอย่างไรรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด

นายกฯ กล่าวว่า ไม่คิดว่าจะเป็นการเริ่มต้นรอยร้าวรัฐบาล แต่คิดว่าการทำงานที่ผ่านมาก็มีหลายเรื่องที่เห็นไม่ตรงกันก็เป็นปกติ ตนยืนยันว่ายังยึดเรื่องผลประโยชน์ชาติ และในการตัดสินใจของตนนั้นไม่ได้ดูเลยว่ากระทรวงนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของ พรรคไหน แต่ดูจากงาน ตัวเนื้องาน แล้วจะตัดสินใจตามนั้น

เชื่อใจ“เติ้ง”หนุนพ.ร.ก.กู้เงิน

นายสุเทพ เปิดเผยว่า การหารือวันนี้ไม่ใช่ประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เพราะคนที่มาเป็นนักการเมืองที่อยู่นอกพรรค ซึ่งเขาเห็นด้วยและสนับสนุนกับสิ่งที่นายกฯ ตัดสินใจที่จะเดินหน้ากอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการออก พ.ร.ก. ทั้งสามฉบับเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หารายได้ และเพิ่มเม็ดเงินให้รัฐบาล เพราะเดินมาถูกทางแล้ว

เมื่อถามว่า จุดประสงค์ของการหารือครั้งนี้ เพราะต้องการเช็กเสียงของรัฐบาลหรือไม่ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ แต่รัฐบาลอยากฟังเสียงคนที่อยู่ข้างนอกว่ามองสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ อยู่เป็นอย่างไร และมีอะไรจะแนะนำ “เราเหมือนนักมวยบนเวที ต้องถามพี่เลี้ยง ถามคนดูว่าเป็นอย่างไร เวลามาคุยแล้วจุดยืนเราตรงกันคือต้องดูแลเกษตรกร ดูแลคนส่วนใหญ่ของประเทศ และพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้”

“เทพเทือก”โอ๋“เจ๊วา”ไม่ติดใจ

ส่วนปัญหาความขัดแย้งระหว่างนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในที่ประชุม ครม. ที่เกรงว่าจะบานปลายทำให้พรรคร่วมไม่พอใจนั้น รองนายกฯ กล่าวว่า ทุกคนในรัฐบาลมีเป้าหมายการบริหารที่ตรงกัน คือ ต้องระบายสินค้าเกษตรโดยให้ขาดทุนน้อยที่สุด มีความโปร่งใส ทุกคนต้องยึดถือนโยบายนี้ ยืนยันว่าไม่มีปัญหาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน และคิดว่านางพรทิวาคงไม่ติดใจ เพราะถ้าติดใจคงบอกกับตนแล้ว

นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า การบริหารการเมืองกับการบริหารราชการแผ่นดินต้องแยกออกจากกัน การบริหารการเมืองต้องพยายามรักษาเอกภาพเพื่อให้การทำงานขับเคลื่อนไปได้ ส่วนการบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ความเห็นที่แตกต่างเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ต้องคลี่คลายกันได้ ต่อข้อถามว่า ก่อนหน้านี้นายกอร์ปศักดิ์เพิ่งมีปัญหากับรัฐมนตรีของพรรคชาติ ไทยพัฒนา รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ไม่น่ามีปัญหา และอยากเสนอให้มีการประชุม ครม.เศรษฐกิจนอกรอบเพื่อหาข้อยุติได้

“พรทิวา”ป้อง“ยรรยง”เต็มที่

ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ยืนยันว่าในที่ประชุม ครม. ไม่มีความขัดแย้ง และนายกฯ ไม่ได้ไล่นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ออกจากห้องประชุม เพราะเมื่อข้าราชการชี้แจงข้อมูลเสร็จก็ต้องออกจากห้องประชุมอยู่แล้ว ทั้งนี้นายยรรยงตั้งใจให้ข้อมูลด้วยความสุจริตใจ แต่อาจมีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น นอกจากนี้ยืนยันว่าเรื่องสต๊อกข้าวโพด กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามกรอบอำนาจอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตามไม่รู้สึกน้อยใจที่กระทรวงพาณิชย์ถูกตัดงบ และเชื่อว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคงไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของพรรคร่วม รัฐบาล รวมทั้งไม่กังวลว่าจะถูกปรับออกจากตำแหน่ง

รมว.พาณิชย์ กล่าวด้วยว่า พร้อมทำตามมติ ครม. ที่ให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณา ของคณะกรรมการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เป็นประธาน ซึ่งกรณีการรับจำนำสินค้าเกษตรนั้นต้องยอมรับเรื่อง การขาดทุน เพราะรับจำนำในราคาสูง ถ้าจะไม่ให้ขาดทุนคงเป็นไปไม่ได้ เพราะการรับจำนำเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร

สอนมวย“มาร์ค”จำนำต้องเจ๊ง

“ถ้าต่อไปท่านนายกฯ มีนโยบายรับจำนำสินค้าเกษตรก็ต้องยอมรับการขาดทุนให้ได้ แต่ถ้าไม่มีนโยบายรับจำนำก็จะไม่มีการขาดทุนแน่นอน ในที่ประชุม ครม. เราชี้แจงว่ามีผู้ชนะการประมูลกี่ราย แต่ละรายเสนอซื้อปริมาณเท่าไหร่ให้ราคาเฉลี่ยเท่าไหร่ ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด เพราะคิดว่าไม่จำเป็น แต่ ครม. อยากทราบว่าแต่ละรายซื้อจากคลังสินค้าใดบ้างในราคาเท่าไหร่ ซึ่งเราก็จะทำรายละเอียดให้มากขึ้นเพื่อเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ตัดสิน คาดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว” นางพรทิวา ระบุ

เมื่อถามว่า รู้สึกท้อกับปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ไม่ท้อ เพราะเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องเล็ก ส่วนที่มีข่าวบอกว่าตนร้องไห้นั้น ตนขอบอกว่าเรื่องใหญ่กว่านี้ ตนยังไม่ร้องไห้เลย และเรื่องนี้เล็กนิดเดียวเอง ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าได้พูดต่อว่านายอภิสิทธิ์ในที่ประชุม ครม. ว่าทำงาน 2 มาตรฐาน จริงหรือไม่ นางพรทิวา อึ้งไปชั่วครู่ ก่อนตอบว่า “ไม่ขอตอบเรื่องนี้” แล้วรีบเดินเลี่ยงหนีไปทันที

โบ้ย“กอร์ปศักดิ์”รับเป็นจำเลย

นายประพล มิลินทจินดา เลขานุการ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า หากคณะกรรมการชุดใหญ่ไม่อนุมัติก็จะเกิดปัญหาว่า ผู้ชนะการประมูลทั้ง 3 รายจะยอมซื้อตามราคาเดิมหรือไม่ เพราะขณะนี้ราคาตลาดโลกลดลงจากวันที่เปิดประมูลเมื่อเดือน มี.ค. มาก ราคาปัจจุบัน กก.ละกว่า 4 บาท แต่ราคา ณ วันเปิดประมูล กก.ละ 6.50 บาท จึงมีความเป็นไปได้ว่า ทั้ง 3 รายอาจยกเลิกการซื้อครั้งนี้ และทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการระบาย และอาจเป็นช่องทางให้ผู้ชนะการประมูลฟ้อง ร้องเรียกค่าเสียหายได้ เพราะผู้ชนะการประมูลไม่สามารถส่งมอบข้าวโพดให้แก่ผู้ซื้อได้ทันตามสัญญา และอาจถูกผู้ซื้อเรียกร้องค่าเสียหาย

เลขานุการ รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย กระทรวงพาณิชย์คงไม่รับผิดชอบ เพราะได้สงวนสิทธิในที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ครั้งก่อนแล้ว เพราะได้ทำตามมติคณะกรรมการชุดใหญ่อย่างถูกต้อง และทำอย่างโปร่งใส ขายราคาใกล้เคียงกับตลาดแต่กลับต้องเป็นจำเลยสังคม

โฆษก“ภท.”ลั่นไม่ตีจากรัฐบาล

นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคไม่ถือว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาล เรายังคงยืนยัน ให้การสนับสนุนรัฐบาลในการบริหารประเทศต่อไป และยืนยันว่านางพรทิวาไม่ได้พูดกล่าวหานายกฯ มี 2 มาตรฐาน เพียงแต่นางพรทิวาต้องการความชัดเจน ซึ่งในที่สุดแล้วก็ให้นายกฯ เป็นผู้ตัดสินว่าเรื่องนี้จะดำเนินการต่อไปอย่างไร

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ กล่าวว่า การแสดงความเห็นของรัฐมนตรีเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เป็นรอยร้าวของรัฐบาล แต่นายยรรยงผิดมารยาทที่ไปอบรม ครม. ส่วนที่พรรคเพื่อไทย วิเคราะห์ว่ารัฐบาลจะยุบสภาภายใน 3 เดือนข้างหน้านั้น พล.ต.สนั่น ตอบแบบติดตลกว่า “คง 3 ปีมั้ง ไม่ยุบหรอก ผมผ่านมาเยอะแล้ว ทางการเมืองเราสังเกตดูได้ เวลาผมเคร่งเครียดมันก็อาจจะ ตอนนี้รัฐบาลยังไปได้ รัฐสภาตั้งคณะกรรมการสร้างสมานฉันท์เป็นทางออกได้ เพราะเปิดแรงอัดให้กว้างมันก็จะเบาลง”

“โหร คมช.”ฟันธงยุบสภาสิ้นปีนี้

นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ หมอดูชื่อดัง หรือโหร คมช. ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลจะ บริหารงานได้ถึงสิ้นปีนี้ หลังจากนั้นจะคืนอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งอาจจะเกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่จากนี้ไปปัญหาประเทศจะผ่อนคลายเรื่อย ๆ กระทั่งปีหน้าเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ และหลังการเลือกตั้งตนยังเห็นเป็นนายอภิสิทธิ์จะยังเป็นนายกฯ อยู่ ส่วนกองทัพในปีหน้าจะเข้ามาในลักษณะการประคับประคองช่วยกันดูแลบ้านเมือง มากกว่าจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองแบบที่ผ่านมา สำหรับดวงของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะคอยดูแลนายอภิสิทธิ์ รวมถึงดูแลชาติบ้านเมืองด้วยกัน

ส่วนดวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังมีอิทธิฤทธิ์อยู่หรือไม่นั้น โหร คมช. กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของท่าน ซึ่งท่านคงทำหน้าที่ของท่านไป แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีดวงกลับมาประเทศไทย แต่คงเป็นในโอกาสข้างหน้า

ศาลยกคำร้อง“ปชป.”4สำนวน

วันเดียวกัน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง ศาลมีคำสั่งที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเลือกตั้งใหม่ แทน น.ส.ณิรัฐกานต์ ศรีลาภ ส.ส.ยโสธร เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากกระทำผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 กรณีให้ทรัพย์สินผ่านตัวแทนหรือหัวคะแนน โดยศาลไต่สวนพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่า พยาน กกต.ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ทั้งยังให้การขัดแย้งกันเองในรายละเอียด ไม่น่าเชื่อถือ คำร้อง กกต. ไม่มีมูล จึงให้ยกคำร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่งยกคำร้องของ กกต. ที่ขอให้เลือกตั้งใหม่และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ นายศุภชัย ศรีหล้า และนายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ น้องชายนายวิฑูรย์ นามบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายวิทวัส พันธ์นิกุล ผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ ด้วย เนื่องจากมีข้อพิรุธในสำนวน กกต. และพยานของผู้ร้องไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตดังกล่าวจะ ไม่เป็นไปโดยสุจริต และเที่ยงธรรม จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

“เพื่อไทย”ไม่รอดเจอใบแดง

ต่อมาในช่วงบ่าย ศาลฎีกาฯ ยังได้อ่านคำสั่งที่ กกต. ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และเลือกตั้งใหม่ ส.ส.สกลนคร เขต 3 แทนนายพงษ์ศักดิ์ บุญศล ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย เนื่องจากถูกร้องคัดค้านว่า ปราศรัยหลอกลวง ใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จจริง ทำให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม

ศาลพิเคราะห์แล้วได้ความจากการไต่ สวนพยาน กกต. ผู้ร้องแล้ว เชื่อว่า นายพงษ์ศักดิ์ ผู้คัดค้านกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ มาตรา 53 (5) หลอกลวงใส่ร้ายให้เข้าใจผิดเรื่องคะแนนนิยมโดยนายพงษ์ศักดิ์ ได้ขึ้นเวทีปราศรัย อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2550 เวลา 19.00-21.00 น. โดยใช้ข้อความจูงใจประชาชนและใส่ร้ายพรรคเพื่อแผ่นดินไม่สำนึกบุญคุณทักษิณ แล้วให้ประชาชนไปลงคะแนนให้กับพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีผลทำให้ การเลือกตั้งเขตดังกล่าวไม่สุจริตเที่ยงธรรม ส่วนข้ออ้างที่เทปปราศรัยมีการตัดต่อนั้นไม่พบพิรุธ เพราะข้อความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันดี ดังนั้นศาลจึงมีคำสั่งให้ตัดสิทธิเลือกตั้งนายพงษ์ศักดิ์ เป็นเวลา 5 ปี และให้เลือกตั้งใหม่ในเขตดังกล่าว.

No comments:

Post a Comment