เหยียบเบรกกันแบบหัวคะมำ สำหรับพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย ที่ฉวยโอกาสในช่วงจังหวะมรสุมกระหน่ำซัดรัฐนาวาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”
บีบให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกศาลตัดสิทธิทางการเมือง จากการถูกยุบพรรคเป็นเวลา 5 ปี
เมื่อกระแสสังคมต่างผนึกกำลังต่อต้าน โดยเฉพาะเมื่อกองทัพออกมาติงว่าการนิรโทษกรรมจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย รวมถึงให้แยกคดีอาญา “ทักษิณ” ออกจากคดีการเมือง เพราะเกรงกลับมามีอำนาจจะล้างแค้นกันไม่เลิก
ซ้ำ “อภิสิทธิ์” ยังไหวตัวทัน เพื่อป้องกัน ไม่ให้บัวช้ำน้ำขุ่น ออกโรงรับลูกนิรโทษกรรมคดีการเมืองได้ แต่ต้องไม่ใช่คดีอาญา
ขณะเดียวกันวอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาแฉบันได 4 ขั้นพรรคเพื่อไทย ที่พยายามปลุกปั่น ยุแยงใช้เงินซื้อพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้เกิดความขัดแย้ง เพื่อให้รัฐบาลล้ม
งานนี้เรียกได้ว่า แผนนิรโทษกรรม ของ “บรรหาร ศิลปอาชา-ชวรัตน์ ชาญวีรกูล" ล้มระเนนระนาด ไม่เป็นรูปขบวน
เพราะมีการขัดแข้งขัดขา ไม่เป็นเอกภาพของพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย ระหว่างขั้วอำนาจใหม่และอำนาจเก่า
โดยพรรคภูมิใจไทย ได้แตกออกเป็น "สามก๊ก" โดยมีก๊กเดิมของ “สมศักด์ เทพสุทิน” "ก๊กเพื่อนเนวิน" และก๊กใหม่ของ “ชวรัตน์”
เห็นได้จากปฏิกิริยา ของลูกหม้อหมายเลขหนึ่งของก๊กเพื่อนเนวิน อย่าง “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” ที่ออกมาต้านการนิรโทษกรรมอย่างชัดเจน แม้ “ชวรัตน์-สมศักดิ์” จะอ้าแขนรับ หนุนการนิรโทษกรรมก็ตาม
งานนี้ทำเอาสองก๊กร้อนๆ หนาวๆ ไปตามกัน เพราะหากประเมินขุมกำลังแล้ว "ก๊กเพื่อนเนวิน" มีกำลังทิ้งห่างอยู่หลายขุม
ซ้ำยังได้แรงหนุนชั้นดีจาก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ซึ่งขณะนี้กลายเป็นคู่ซี้กับ “เนวิน ชิดชอบ” ไปแล้ว
จากการประเมินเบื้องต้นของ "ก๊กเพื่อนเนวิน" เห็นว่า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม งานใหญ่รออยู่ข้างหน้า แค่ 2 ปีถือว่าเล็กน้อย ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจอย่างเต็มภาคภูมิ
ดังนั้น การนิรโทษกรรมก่อนกำหนดถือว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" เพราะต้องเผชิญแรงเสียดทาน กระแสสังคม
ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา แม้จะมีอำนาจเก่าอย่างตระกูล "ศิลปอาชา" กุมอำนาจอยู่ แต่ขณะเดียวกันมีความพยายามรุกคืบเข้ายึดกุมของอำนาจใหม่ ภายใต้การนำของ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์”
เมื่อ “บรรหาร” เห็นท่าไม่ดี เกรงอำนาจใหม่จะกระทำการยึดแบบเบ็ดเสร็จ-เด็ดขาด ขณะเดียวกันหากจะรอกลับเข้าสู่สนามการเมืองอีก 5 ปี อายุ 80 กว่าๆ อำนาจในพรรคที่เคยมีอยู่ในมือก็จะสั่นคลอนแน่นอน
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ "บรรหาร ศิลปอาชา" จะยอมทุ่มสุดตัว แถมด้วยรับออเดอร์จากต่างแดนในการเดินสาย-เจรจา-ต่อรองให้การนิรโทษกรรมเกิดขึ้นให้ได้
ถือเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของคนชื่อ “บรรหาร” แม้จะรู้ว่าต้องถูกตราหน้าว่าเป็นนักการเมืองเห็นแก่ได้ ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องก็ตาม
แต่ถึงกระนั้น งานนี้แม้จะโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ติดเบรกกันแทบไม่อยู่ แต่ในสายตาผู้เล่นอย่าง "บรรหาร" แล้ว ก็ใช่ว่าจะได้ไม่คุ้มเสียซะทีเดียว
เพราะ อย่างน้อยก็ถือเป็นการโชว์พลัง โชว์ขุมอำนาจของพรรคร่วมรัฐบาลได้ไม่น้อย ซ้ำยังเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ "เช็กชื่อ" ว่าใครร่วมหัวจมท้ายกับใคร หรือใครเป็นงูเห่าที่ซ้อนอยู่ในก๊ก-แก๊ง
ที่สำคัญยังเป็นการวัดใจ “อภิสิทธิ์” ก่อนที่จะเดินหน้าปฏิรูปการเมืองต่อไป
นอกจากนั้นแม้ดูเผินๆ แผนการนิรโทษกรรม “แม้ว” ครั้งนี้จะล้มไม่เป็นท่า แต่หากดูกระแสเสียงสังคมที่เริ่มตอบรับให้มีการนิรโทษกรรมคดีการเมืองขึ้นมาบ้างแล้ว
นั่นก็เท่ากับการเปิดช่องให้แก้รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 237 ในเรื่องการยุบพรรค ซึ่งเท่ากับล้มกระดานยุบพรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย
ดังนั้นแม้ออเดอร์ที่รับจากต่างแดน จะเดินไปไม่ได้จนถึงฝั่ง ณ นาทีนี้ แต่ "ผลพลอยได้" ที่ได้รับก็ถือว่าคุ้มมากกว่า
ล่าสุด มีสายข่าวยืนยันมาว่ามีการติดต่อทางลับจับมือกันใต้ดินระหว่าง “บรรหาร-เนวิน” ที่บ้านย่านจรัญฯ ด้วยข้อต่อรองค่อนข้างสูง
พร้อมด้วยแผนใหม่ ร่วมกันเดินสายเจรจากลุ่มแก๊งนักการเมืองที่ถูกพิษการเมืองเล่นงานทั้งหมดกว่า 200 คน บีบ “อภิสิทธิ์” นิรโทษกรรม
อย่างไรก็ดีแม้ทางออกสุดท้ายของ “อภิสิทธิ์” หากทนแรงบีบไม่ไหว จะประกาศ "ยุบสภา"
แต่ในมุมของ "บรรหาร" แล้ว งานนี้ก็ถือว่าเป็น “เกมเดิมพัน” ที่คุ้มค่าอยู่ดี
เพราะนอกจากจะหมายถึงความเป็นความตายของ "รัฐบาลโอบามาร์ค" แล้ว
มันยังหมายถึงความเป็นตายของชายชื่อ "บรรหาร" อีกดอกหนึ่งด้วย !!!
Tuesday, April 21, 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment